“เด็กต้องรู้ว่าควรรับฟังข่าวสารทุกด้าน และทำความเข้าใจมุมมองที่แตกต่าง ประเด็นสำคัญคือเราต้องช่วยคัดกรองสื่อ เพื่อปกป้องเด็กจากการผลิตซ้ำอคติ หรือการปลุกระดมความรุนแรง แล้วให้เขาได้ซึมซับทัศนคติแบบใช้เหตุผล เรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างมีสติ”
เมื่อความขัดแย้งบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาถูกจับจ้องอีกครั้ง ‘ภารกิจของครูในพื้นที่’ จึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม พวกเขาไม่เพียงเฝ้าระวังภัยให้เด็ก ๆ หากต้องมองหาการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม คอยประคับประคองจิตใจ คอยติดตามลูกศิษย์ที่ออกนอกพื้นที่ไม่ให้ห่างหายจากการเรียน ทั้งต้องมองไปข้างหน้า ว่า ‘เมื่อวันที่ความปกติกลับมา’ โรงเรียนจะช่วยฟื้นฟูการเรียนรู้และเยียวยาหัวใจเด็ก ๆ อย่างไร
ขณะที่อีกหนึ่งโจทย์ระยะยาวซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ คือระหว่างที่สถานการณ์ความขัดแย้งยังดำเนินไป ‘ครูจะมีบทบาทอย่างไร’ ในการปลูกฝังเด็ก ๆ ไม่ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำซ้ำความรุนแรง และสามารถเรียนรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจ เพื่อความหวังที่ว่า วันหนึ่งสันติภาพจะกลับคืนสู่คนในพื้นที่โดยถาวร

ชวนคุยกับ ‘ครูมายด์’ บุษบา ดาศรี ครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 2 ในฐานะ ‘คนพื้นที่’ ผู้กำลังจะรับบทบาทเป็น ‘ครูของพื้นที่’ หลังเพิ่งจบการศึกษาจาก คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และเตรียมกลับมาบรรจุที่ โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ในเดือนตุลาคม 2568 นี้
อย่างไรก็ตาม ครูมายด์ไม่ได้เป็น ‘ครูใหม่ป้ายแดง’ เสียทีเดียว เพราะด้วยหลักสูตรครูรัก(ษ์)ถิ่น ที่เน้นให้นักศึกษาครู ‘เรียนรู้เพื่อทำงานภายใต้โจทย์พื้นที่’ เธอจึงได้ศึกษางานในพื้นที่บ้านเกิดตั้งแต่ปี 1 และผ่านชั่วโมงฝึกสอนเข้มข้นมาตลอดหนึ่งปีการศึกษาขณะเรียนชั้นปี 4 ซึ่งทำให้เธอเป็นครูที่อยู่ในพื้นที่ตั้งแต่วันแรกของการปะทะในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
“โรงเรียนเราอยู่ห่างชายแดนแค่หกกิโลเมตร ช่วงปะทะหนักที่สุดมีระเบิดตกหน้าโรงเรียนสามลูก แต่ไม่มีใครได้รับอันตราย เพราะทุกคนออกจากพื้นที่หมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ตามมาคือผลกระทบต่อสภาวะจิตใจ ทั้งความหวาดกลัว กังวล สับสน เพราะเราอยู่ใกล้พื้นที่ปะทะมาก แต่สิ่งที่แต่ละคนคิดเป็นอย่างแรก คือเด็ก ๆ เขากลัวยิ่งกว่าเรา ยิ่งเวลานั้นมีข้อมูลมากมายจากโซเชียลมีเดีย หรือจากข่าวที่คนลือกันในพื้นที่ เราก็ต้องปกป้องเด็ก ๆ จากตรงนั้นด้วย คนไหนที่กลัวมาก ๆ ก็จะคอยอยู่ใกล้ กอดเขาไว้ แล้วค่อย ๆ อธิบายว่าข้อเท็จจริงคืออะไร พยายามช่วยกรองข่าวสารให้เขาคลายกังวล แล้วจะย้ำว่าสิ่งที่เราต้องทำคือเตรียมพร้อม เฝ้าระวัง และมีสติให้ได้มากที่สุด ประโยคที่พูดกับเด็กบ่อยมากคือ ‘ครูจะอยู่ตรงนี้กับหนู’ ก็ช่วยให้เขาดีขึ้นได้ เพราะอย่างน้อยก็อุ่นใจว่ามีเราอยู่ด้วย”
หลายสัปดาห์ที่ศูนย์พักพิง จากช่วงของความสับสนหวาดกลัว กลายเป็นวันอันยาวนานที่เด็ก ๆ ต้องใช้ชีวิตในพื้นที่จำกัด แผนรับมือที่โรงเรียนเตรียมไว้ จึงเป็นภารกิจของการ ‘เปลี่ยนทุกที่เป็นโรงเรียน’
“เราเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีเด็ก 86 คน พอโรงเรียนปิด เด็กเกินครึ่งมาอยู่กันที่ศูนย์พักพิง เราเองอยู่กับเด็กที่นั่น มีการจัดพื้นที่ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ย่อม ๆ มีของเล่น มีสมุดระบายสี มีกิจกรรมชวนเด็ก ๆ เล่น ให้เขาได้เอาใจออกจากความวิตกกังวล นอกจากนั้นยังมีพี่ ๆ นักจิตวิทยาแวะเวียนมาช่วย ทำให้เราลดทอนรอยแผลทางใจที่จะทิ้งไว้กับเด็ก ๆ ได้มาก เพราะเมื่อเราคุยกับเด็ก ๆ วันที่เขากลับมาเรียน ก็ได้รู้ว่าหลายคนเลือกที่จะจำประสบการณ์นั้นว่าคือช่วงเวลาหนึ่งที่เราได้อยู่ด้วยกัน เรียนรู้ด้วยกัน และทำกิจกรรมกันในสถานที่ไม่ใช่โรงเรียน”

ถึงต้นเดือนตุลาคม เริ่มมีรายงานการปะทะอีกครั้งในบางพื้นที่ ครูมายด์บอกว่าสิ่งที่กังวลคือการขาดช่วงของการเรียนรู้ เพราะพอเป็นพื้นที่เสี่ยงที่ทำให้เด็กต้องเรียน ๆ หยุด ๆ หลายคนก็อาจหลุดไปจากระบบการศึกษา พร้อมยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวว่า “เด็ก ๆ ชายแดนอยู่ไกลจากโอกาสมากอยู่แล้ว อย่างตัวเราเองที่เป็นเด็กในพื้นที่ เพื่อนร่วมรุ่นที่จบ ม.3 พร้อมกัน 15 คน มีแค่ 7 คนได้เรียนต่อ ส่วนที่เหลือก็ไปทำงาน และไม่มีใครได้กลับมาเรียนอีก”
หากความกังวลนั้นเอง ที่ครูมายด์นำมาเป็นโจทย์ของการทำงานในพื้นที่เฉพาะขณะเป็นนักศึกษาครูรัก(ษ์)ถิ่น จนพบแนวทางที่อาจเป็นคำตอบ ซึ่งเธอตั้งใจจะทำตั้งแต่วันนี้ ขณะที่สถานการณ์ตรงพื้นที่ชายแดนยังดำเนินไป โดยเธอบอกว่า “การเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ในชุมชน ข้อดีคือความใกล้ชิด เรารู้ว่าเด็กบ้านอยู่ตรงไหน มีไลน์กลุ่มผู้ปกครองทุกคน ช่วงไหนเด็กมาเรียนไม่ได้ เรามีชุดแบบฝึกหัด มีบทเรียนออนแฮนด์ไปส่งที่บ้าน ส่วนบางคนที่ออกนอกพื้นที่ไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว เราติดตามผ่านผู้ปกครองได้ตลอดว่าเด็กไปอยู่ตรงไหน บางทีได้คุยกับเด็กบ้างก็จะถามว่าเขาเป็นยังไง ได้ทบทวนบทเรียนบ้างไหม คือจะพยายามให้เด็กยังมีใจจดจ่อกับเรื่องเรียนให้ได้มากที่สุด และนอกจากนั้นก็จะพยายามดึงชุมชน หรือความช่วยเหลือจากภายนอกเช่นทุนต่าง ๆ เข้ามาช่วย”
ครูมายด์สะท้อนอีกประเด็นหนึ่ง ว่าถึงวันที่สถานการณ์ผ่านไปแล้ว แต่เด็ก ๆ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเธอจะต้องเติบโตขึ้น ในพื้นที่ซึ่งความขัดแย้งระหว่างสองประเทศยังคงทิ้งร่องรอยไว้ ดังนั้นครูจะต้องเป็นผู้ปลูกฝังถ่ายทอดความเข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยเฉพาะการแยกแยะข่าวสารที่ได้รับด้วยเหตุด้วยผล ด้วยมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งทำได้ผ่านการหาสื่อสร้างสรรค์ที่ช่วยอธิบายเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความต่างของเชื้อชาติ ผู้คน และบริบทพื้นที่ เพื่อให้เด็ก ๆ เห็นโลกทั้งใบในภาพที่กว้างขึ้น และเข้าใจความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์มากขึ้น
“คิดว่าการเลือกสื่อที่มีอยู่แล้วมาใช้จัดการเรียนรู้ จะช่วยทำให้เด็ก ๆ เข้าใจ และได้ซึมซับทัศนคติของการมองเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยเหตุผลได้มากที่สุด เพราะเด็กต้องรู้ว่าเขาควรรับฟังข่าวสารทุกด้าน และทำความเข้าใจในมุมมองที่แตกต่าง ประเด็นสำคัญคือเราต้องคัดกรองสื่อ เพื่อปกป้องเด็กจากการผลิตซ้ำความรุนแรง อคติ หรือการปลุกระดมความโกรธแค้นเกลียดชัง แล้วให้เขาได้ซึมซับจากสื่อที่อธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยเหตุผล เพื่อเรียนรู้ที่จะคิด วิเคราะห์ และตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างมีสติ ซึ่งเป็นชุดความคิดที่เขาจะใช้รับมือกับเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน รวมถึงเป็นเกราะคุ้มกันทางความคิดที่จะติดตัวต่อไปด้วย”