ฟ้าหลังฝนที่ยังมาไม่ถึง: ชีวิตของเด็กเปราะบางหลังหาดใหญ่จมบาดาล

ฟ้าหลังฝนที่ยังมาไม่ถึง: ชีวิตของเด็กเปราะบางหลังหาดใหญ่จมบาดาล

1

“ดูสิ เหมือนเมืองร้างเลย พังทลายหมด ยับเยิน” เสียงจากคนขับรถตู้ดังขึ้นเมื่อรถขับผ่านถนนในหาดใหญ่ 

ริมถนนมีกองขยะเรียงรายอยู่เต็ม เศษตู้ไม้เปียกจนกรอบ เก้าอี้ไม้ฉีกเป็นชิ้น ฟูกเปื้อนคราบน้ำ และตู้เย็นเก่าโทรมกองระเกะระกะตลอดทาง รถหลายคันจอดเกยอยู่ข้างทาง เศษดินเกาะจนถึงหลังคารถ ซอกล้อเปรอะเปื้อนด้วยร่องรอยของน้ำท่วม บางคันถึงขั้นกระจกแตกจนยานพาหนะกลายเป็นเศษเหล็ก 

ทั้งหมดนี้คือภาพส่วนหนึ่งหลังเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ส่วนตัวเมืองหาดใหญ่ได้รับความเสียหายจากน้ำที่ท่วมสูง กลุ่มอาคารบ้านเรือนกลายเป็นเมืองบาดาลอยู่เกือบสิบวัน นับตั้งแต่ฝนตกกระหน่ำในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 และมีมวลน้ำจากอำเภอสะเดาที่ไหลมาสมทบในตัวเมือง จนกลายเป็นมหาอุทกภัยที่หลายคนบอกว่า “รุนแรงที่สุดในชีวิต”

ในช่วงต้นเดือนธันวาคม น้ำลดลงแล้ว แสงแดดปรากฏให้เห็นมากกว่าสายฝน แต่ผู้คนที่หาดใหญ่ยังต้องเผชิญกับการล้างบ้าน ขนขยะกองมหึมาไปทิ้ง ดูแลคนที่ป่วยไข้จากช่วงน้ำท่วม และรับมือกับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินด้วยสภาพจิตใจและร่างกายที่เปราะบาง 

ท่ามกลางปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้น เด็กคือกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุด โดยเฉพาะเด็กกลุ่มเปราะบางที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีนัก ในช่วงปกติ พวกเขามีข้าวกินที่โรงเรียนและมีคุณครูคอยดูแลในตอนที่ผู้ปกครองต้องออกไปทำงาน แต่เมื่อน้ำท่วม พวกเขาสูญเสียช่วงเวลาในการเรียนรู้ที่โรงเรียน เผชิญภาวะยากลำบากในการเข้าถึงอาหารตามหลักโภชนาการ และครอบครัวสูญเสียทรัพย์สินและรายได้ที่ควรจะมีในช่วงเวลาปกติ 

แม้ช่วงเวลาน้ำท่วมจะเกิดขึ้นราวสิบวัน แต่การฟื้นฟูนับจากนี้ยังต้องใช้เวลาหลักเดือน นี่จึงนับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เด็กต้องได้รับการถมช่องว่างที่หายไป โดยการช่วยเหลือของทั้งครู ผู้ปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

2

แสงแดดจ้าส่องต้อนรับในตอนที่เราเดินทางไปถึงโรงเรียนบ้านท่าไทร ต.คลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ประตูทางเข้าโรงเรียนฝั่งหนึ่งมีกองขยะกองอยู่เต็มจนรถเข้าไปไม่ได้ ต้องใช้การเดินเท้าเข้าไปในโรงเรียนแทน ต้นไม้ที่ลำต้นสูงอย่างต้นหมากยังยืนต้นมีใบเขียวขจีให้เห็น แต่พืชล้มลุกที่ปลูกเป็นพุ่มริมกำแพงล้วนยืนต้นตายทั้งหมด จากใบสีสดกลายเป็นสีซีดแห้งกรอบไร้ชีวิต เป็นผลจากการถูกน้ำท่วมมิดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่วนสนามเด็กเล่นที่เครื่องเล่นเคยเป็นสีสดใส บัดนี้ถูกคราบดินสีน้ำตาลเกาะจนเต็ม โต๊ะเก้าอี้ แฟ้มใบงาน พานไหว้ครู ไปจนถึงหุ่นร่างกายมนุษย์ที่กองตรงสนามหญ้าก็ถูกเคลือบด้วยดินโคลนทั้งสิ้น 

“กระเพาะหายไปกับน้ำแล้ว” คุณครูที่โรงเรียนบ้านท่าไทรพูดถึง ‘อวัยวะภายใน’ ที่หายไปจากตัวหุ่นด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ในภาวะที่ต้องเผชิญความสูญเสียเช่นนี้ การรับมือด้วยมุกตลกเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องที่ช่วยให้สภาพจิตใจมั่นคงขึ้นได้

โรงเรียนบ้านท่าไทรเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 จนถึงชั้นประถม 6 มีนักเรียน 110 คน  ในพื้นที่ 4 ไร่ 3 งานนี้เป็นที่รองรับเด็กในชุมชนบ้านท่าไทรและสะพานดำ คุณครูเป็นพ่อแม่คนที่สองของเด็กๆ ที่คอยดูแลทั้งการเรียนและอาหารการกิน เด็กหลายคนอยู่ในครอบครัวยากจน พ่อแม่ต้องออกไปทำงานรับจ้างจนมืดค่ำ โรงเรียนจึงเป็นที่พึ่งของพวกเขาในแทบทุกเรื่องของชีวิต

“โรงเรียนคือที่ฝากเรียน ฝากเลี้ยง ฝากกินของเด็กๆ ก็ว่าได้” แม่ครัวของโรงเรียนเล่าให้เห็นภาพ

สุนิตา เพชรโร

สุนิตา เพชรโร หรือครูซี ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านท่าไทร เล่าเสริมให้ฟังท่ามกลางเสียงอาสาสมัครที่มาช่วยล้างอาคารเรียนว่า เด็กที่นี่ส่วนมากมีฐานะยากจน พ่อแม่ทำงานรับจ้างได้ค่าแรงวันละร้อยกว่าบาท เช่น การรับจ้างปอกหัวหอม เด็ดขั้วพริก ฯลฯ เด็กหลายคนอยู่กับปู่ย่าตายาย หลายครั้งเด็กต้องมาโรงเรียนโดยที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า โรงเรียนมีงบประมาณแค่อาหารเที่ยง แต่ก็จะใช้วิธีการให้เด็กกินนมก่อนและกินข้าวเที่ยงเร็วขึ้น

“โรงเรียนเรามีอาหารสองอย่าง และมีขนมหรือผลไม้ทุกวัน เพราะเรารู้ว่าบางทีเด็กไม่ได้กินข้าวมาจากบ้าน เด็กบางคนกินข้าวเที่ยงเยอะมากเพื่อให้อิ่มถึงตอนเย็น เพราะเขารู้ว่ากลับบ้านไปก็อาจไม่มีข้าวกิน ดังนั้นครูกับแม่ครัวก็จะห่ออาหารใส่ถุงเผื่อไว้ให้ เด็กสามารถเอากลับไปกินที่บ้านหรือเผื่อปู่ย่าตายายได้เลย” ครูสุนิตาเล่ารายละเอียด

ย้อนไปในเหตุการณ์ก่อนจะเกิดน้ำท่วม ฝนเริ่มตกหนักไม่หยุดตั้งแต่วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน โรงเรียนมีประสบการณ์น้ำท่วมจากปีที่แล้วจึงประเมินสถานการณ์ว่าน้ำอาจท่วมได้อีก ในวันรุ่งขึ้นเหล่าครูและนักเรียนจึงช่วยกันเอาของขึ้นไว้บนโต๊ะ จนวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายนเห็นท่าไม่ดี เห็นว่าน้ำต้องมาแน่แล้ว พวกเขาจึงช่วยกันยกของขึ้นที่สูงอีก เสร็จแล้วจึงปล่อยเด็กๆ กลับบ้านก่อนเวลา พร้อมห่อไก่ทอดเผื่อไว้ให้เด็กเอากลับไปกินที่บ้านด้วย

แต่แล้วการประเมินสถานการณ์ว่าน้ำอาจจะท่วมเท่าปีที่แล้วคือไม่เกินโต๊ะเรียน กลายเป็นการประเมินที่ผิดพลาด ไม่มีใครคาดคิดว่าน้ำจะมาแรงและเยอะจนท่วมอาคารเรียนในระดับสองเมตร โรงเรียนบ้านท่าไทรจมอยู่ใต้น้ำก่อนใครเพื่อนและน้ำลดเป็นที่สุดท้าย เพราะเป็นที่ลุ่มต่ำและเป็นกลุ่มอาคารชั้นเดียว โชคดีที่ไม่มีเด็กและครูอยู่ที่โรงเรียนแล้วในวันที่น้ำท่วมมิดหัว หลังจากนั้นโรงเรียนก็ประกาศหยุดเรียน เด็กหลายคนมีครอบครัวพาหนีออกไปจากพื้นที่ได้ทัน แต่เด็กอีกหลายคนต้องติดอยู่บนหลังคาบ้าน ส่วนครูหลายคนก็ต้องอาศัยอยู่ในชั้นสองของบ้านตอนน้ำท่วม ในวันนี้ที่มาทำความสะอาดโรงเรียน บ้านของครูหลายคนก็ยังจัดการไม่แล้วเสร็จ 

“พอเรารู้ว่าน้ำท่วม เราก็เช็กเด็กทันทีว่าทุกบ้านเป็นอย่างไรกันบ้าง โชคดีที่เด็กทุกคนปลอดภัย” ครูสุนิตาเล่าย้อนถึงวันที่น้ำท่วม

นาตยา อดิศัยนิกร

ท่ามกลางบรรยากาศที่อาสาสมัครร่วมกันทำงาน นาตยา อดิศัยนิกร หรือ ผอ.รุ้ง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าไทร พาเดินดูอาคารเรียนไม้ที่ยังมีคราบน้ำท่วมอยู่ ตอนนี้กำลังมีการซ่อมแซมและทำความสะอาดอาคารเรียนให้เด็กสามารถเข้ามาเรียนได้ก่อน 

“เราผ่านประสบการณ์มาในปีที่แล้ว แต่ไม่คิดว่าประสบการณ์รอบนี้จะหนักอึ้งขนาดนี้” ผอ.นาตยาพูดระหว่างชี้ให้เห็นสภาพอาคารเรียนที่ผุพัง “ตอนนี้ยังมีส่วนที่มีปัญหาคือเอกสารต่างๆ ที่เอาออกไม่ทัน คอมพิวเตอร์ที่อยู่หลังตู้ก็ไปหมดเลย หนังสือเรียน ตำราเรียนไปหมดเลย” ผู้อำนวยการขยายความให้เห็นภาพ

หลังจากเด็กนักเรียนหยุดเรียนเพราะน้ำท่วมไปราวสิบกว่าวัน โรงเรียนก็ประเมินว่าน่าจะกลับมาเปิดเรียนได้ในวันที่ 8 ธันวาคม โดยบุคลากรในโรงเรียนมีความเห็นตรงกันว่า “อย่างน้อยๆ ก็ให้เด็กได้มีข้าวกินที่โรงเรียนก่อน”

ผอ.นาตยาพูดถึงประเด็นที่หลายคนกังวลคือเรื่องความพร้อมของอาคารเรียนและอุปกรณ์การเรียน หากจะเรียกเด็กกลับมาที่โรงเรียนไว้ว่า มีการรวบรวมอุปกรณ์การเรียนจากหลายฝ่าย เพราะโรงเรียนและทุกบ้านสูญเสียอุปกรณ์การเรียนไปกับน้ำหมดแล้ว

“เรามีสมุด ดินสอ ปากกาที่ทาง กสศ. เอามาให้ แล้วก็มีคอมพ์ฯ ของครูเครื่องเดียวที่รอดอยู่บ้าน เราก็จะเอามาให้เด็กเรียนรวมคละชั้นก่อน เด็กเราไม่เยอะมาก เพราะฉะนั้นบริหารจัดการไม่ได้ยาก สอนได้เลย ไม่ต้องห่วง ทุกวันนี้หนังสือไม่ได้เป็นสื่อหลัก แต่ตอนนี้ปัญหาคืออยากได้ไวต์บอร์ดหรือโปรเจ็กเตอร์ เอาไว้ให้ครูมาจัดการสอน เราเอาเด็กมารวมกันแล้วเรียนรู้รวมได้ ส่วนเรื่องชุดก็ให้เด็กๆ ใส่ชุดไปรเวทมาเรียนได้เลย เพราะเรารู้ว่าชุดนักเรียนไปกับน้ำหมดแล้ว” ผอ.นาตยาอธิบาย

ในอนาคตอันใกล้ โรงเรียนอยากได้เงินเยียวยาจากทางภาครัฐเพื่อปรับปรุงอาคารเรียนให้เหมาะสมแก่การเรียนการสอน รวมถึงอุปกรณ์การเรียนที่เด็กต้องใช้ในการเรียน ส่วนอนาคตอันไกล โรงเรียนอยากมีงบประมาณในการสร้างตึก 3-4 ชั้น มีใต้ถุนโล่งเพื่อให้เด็กได้ทำกิจกรรม และถ้ามีเหตุการณ์น้ำท่วมขึ้นอีกก็จะสามารถขนของขึ้นที่สูงได้หากมีอาคารที่ไม่ใช่ชั้นเดียวเช่นนี้

โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเด็ก เมื่อภัยธรรมชาติเดินทางมาถึง จึงต้องเร่งปะแผลให้พื้นที่แห่งนี้รองรับเด็กที่เปราะบางได้เหมือนเคย

3

น้องเชอรีนยืนรอพวกเราอยู่แล้วที่รั้วโรงเรียน เด็กหญิงวัยแปดขวบ นักเรียนโรงเรียนบ้านท่าไทรกำลังจะพาเราเดินไปดูบ้านที่อยู่ข้างโรงเรียน เธออยู่กับคุณย่าที่บ้าน โชคดีที่วันที่น้ำท่วม ครอบครัวพากันหนีออกไปนอกพื้นที่ได้ทัน ทำให้เชอรีนไม่ต้องเผชิญความหิวโหยและยากลำบากในช่วงการน้ำท่วมนี้ แต่สภาพของบ้านก็ทำให้เห็นว่าน้ำท่วมทำลายข้าวของแค่ไหน เส้นขอบตรงกำแพงชี้ให้เห็นร่องรอยว่าบ้านถูกน้ำท่วมสูงในระดับมิดหัวคน ไม่ต้องถามถึงอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียน เพราะไปกับน้ำหมดแล้ว

น้องเชอรีนเล่าว่าวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายนได้เข้าไปช่วยคุณครูยกของหนีน้ำที่โรงเรียน ก่อนที่ครูจะบอกให้กลับบ้านก่อนน้ำจะมา คุณยายเดินมาโอบหลังน้องเชอรีนแล้วเสริมว่า “โชคดีที่พาออกจากพื้นที่ได้ทัน” 

น้องเชอรีนเป็นหนึ่งในเด็กที่รอดจากช่วงน้ำท่วม แต่ช่วงเวลาที่หายไปไม่ได้เรียนหนังสือย่อมนับว่าเป็นความสูญเสียอย่างหนึ่ง ในขณะที่บ้านในละแวกใกล้เคียงก็มีเด็กที่ต้องเผชิญภาวะเดียวกันกับเชอรีนอีกหลายคน

ถัดออกมาจากโรงเรียนราวห้ากิโลเมตร ชุมชนสะพานดำเป็นที่อยู่อาศัยของเด็กจำนวนหนึ่งที่เรียนในโรงเรียนบ้านท่าไทร พื้นที่แห่งนี้กินอาณาเขตกว้างขวาง แยกเป็นซอยเล็กๆ อยู่กันเป็นชุมชนแออัด เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรุนแรงอีกแห่งหนึ่ง ถนนที่เพิ่งผ่านน้ำท่วมมายังเป็นโคลนเฉอะแฉะ ถนนสายเล็กเต็มไปด้วยขยะ คนขับมอเตอร์ไซค์สัญจรไปมาเมื่อหลุดพ้นจากการติดบนที่สูง บ้านเรือนตั้งอยู่ติดกันเรียงยาวจนถึงท้ายซอย กลิ่นอับจากข้าวของที่จมอยู่ใต้น้ำนานนับสิบวันคละคลุ้งทั่วบริเวณ ผู้สูงอายุหลายคนนั่งอยู่หน้าบ้าน ทอดสายตาไปยังถนนอย่างไร้จุดหมาย เสียงเด็กๆ วิ่งเจี๊ยวจ๊าว รวมตัวกันอยู่หน้าบ้าน นี่คือภาพบรรยากาศที่ชุมชนสะพานดำ

“รถที่เคยใช้ส่งเด็กไปโรงเรียนพัง ยังไม่รู้เลยว่าจะพาลูกไปโรงเรียนอย่างไร” ตา คนในชุมชนสะพานดำ และเป็นแม่ของนักเรียนโรงเรียนบ้านท่าไทรเล่าให้ฟังท่ามกลางเสียงหยอกล้อของเด็กๆ 

หากเป็นช่วงปกติ ตาจะเป็นคนขับรถพาเด็กๆ กว่าเก้าชีวิตในชุมชนไปส่งที่โรงเรียนบ้านท่าไทร รถที่ใช้เป็นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมีหลังคา แต่เมื่อน้ำท่วมรถคันนั้นก็ใช้งานไม่ได้ ทางโรงเรียนและ กสศ. รับทราบเรื่องและกำลังหาทางแก้ปัญหานี้

“น้ำท่วมสูงหกเมตรนะ เด็กต้องอยู่บนหลังคา ส่วนของกินเราก็เอาขนมที่เราขายนี่แหละมาให้เด็กๆ กิน” ตาเล่าถึงเหตุการณ์น้ำท่วมให้ฟัง แล้วชี้ไปที่ดาดฟ้าของบ้านเยื้องกัน “คน 50 คนอัดกันอยู่บนนั้น” ตาเล่า ส่วนที่บ้านของตา พวกเธอติดน้ำท่วมอยู่ด้วยกันสี่คน คือแม่ของตา ตา และลูกสาวอีกสองคนในวัย 11 ขวบ และ 6 ขวบ 

“อยู่กันผู้หญิงล้วนค่ะ” ตาเล่า “โชคดีที่เราเอาข้าวกับเตาแก๊สขึ้นไปชั้นสองทัน เลยมีข้าวกิน เราอยู่ที่บ้านได้สี่วัน แล้วน้ำก็ขึ้นชั้นสอง เราไม่มีที่อยู่แล้ว บ้านข้างๆ เลยเอาโฟมพาเราลอยออกไปทีละคนไปอยู่ที่มัสยิดใกล้ๆ” มัสยิดที่ตาพูดถึงคือมัสยิดของชุมชนที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ที่ตอนนี้ก็อยู่ในสภาพจมคราบโคลนไม่ต่างกัน

อยู่มัสยิดได้สองวัน เด็กๆ ก็เริ่มไม่สบาย โชคดีที่น้ำเริ่มลดลงหน่อย คนจึงสามารถเอาเรือเข้ามารับได้ ตาเล่าให้ฟังว่าสาเหตุการป่วยของเด็กมาจากน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด

“เด็กเป็นอาหารเป็นพิษขั้นรุนแรง เพราะน้ำและอาหารไม่สะอาด โชคดีที่เรารู้จักคนในเรือ เราบอกเขาว่าช่วยพาออกไปข้างนอกได้ไหม เขาก็ถามว่าจะไปอยู่ไหน เราก็บอกว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่” ตาเล่าด้วยแววตาปนเศร้า นึกย้อนไปถึงตอนที่ลูกป่วยไข้ในช่วงน้ำท่วม ดานีน-ลูกสาววัย 11 ปีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เดินมาหาแม่ระหว่างการพูดคุย เป็นเด็กหญิงที่มีแววตาใสและนิ่ง เธอยิ้มให้นิดๆ ในมือถือขนมและถุงอุปกรณ์การเรียนที่ทาง กสศ. และหน่วยงานภาคประชาชนเอามาให้

ในตอนนั้นเองที่รถบรรทุกคันใหญ่ถอยเข้ามาในซอย เพื่อขนขยะจากชุมชนออกไปทิ้ง ตาบอกว่าถ้าเรามาเมื่อวานจะเดินเข้ามาในบ้านไม่ได้ เพราะขยะเต็มถนนและหน้าบ้าน แต่ตอนนี้เคลียร์ไปได้บางส่วนแล้ว

เศษซากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมในหาดใหญ่ ไม่ได้มีเฉพาะภาพที่เห็นตรงหน้าเท่านั้น แต่ความสูญเสียที่เป็นหลุมลึกในใจเด็กต้องได้รับการเติมเต็มอย่างเร่งด่วน ช่วงที่พวกเขาต้องเผชิญกับความตึงเครียด ไร้อาหารและน้ำสะอาดไว้ดื่มกิน ขาดการเรียนรู้เรื่องทางวิชาการและกิจกรรมเสริมในโรงเรียน เรื่องเหล่านี้ต้องแก้อย่างเป็นระบบ โดยแก้ทั้งปัญหาระยะสั้นและป้องกันปัญหาในระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยหน่วยงานและการทำงานที่สอดคล้องกันของหลายฝ่ายอย่างจริงจังตั้งใจ

ในช่วงบ่ายที่พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า รถเก็บขยะยังขับเข้ามาในซอยเฉอะแฉะคันแล้วคันเล่า เด็กๆ กระจายตัวไปเล่นตามซอกซอย ดานีนกับเพื่อนๆ ยืนอยู่ใกล้กับราวตากผ้าและกองตู้เปื้อนโคลน ยืนโบกมือให้ผู้มาเยือน เด็กๆ ยังต้องอยู่กับปัญหาที่พวกเขาไม่ได้ก่อ และพวกเขาเติบโตขึ้นทุกวันในโลกที่ไม่ได้มีแค่แสงแดดสว่างไสว แต่มีพายุลูกใหญ่รอถล่มลงมาเสมอ – คำถามคือเราจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กอย่างไรในวันที่โลกของพวกเขาสาหัส