จากเด็ก ๆ ที่รวมตัวกันทุกวันที่สนามฟุตบอลเล็ก ๆ ในตำบลลำปางหลวง วันนี้การเดินทางเพื่อมาถึงสนามศุภชลาศัยสิ้นสุดลง ด้วยความพ่ายแพ้ให้กับ ‘ทีมตัวตึง กระแสดัง แชมกีฬา 7 HD’ ไป 0 ต่อ 2
…แต่น้อง ๆ ทุกคนได้ลงไปพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาพกเอาหัวใจลงไปวิ่งเต็มที่ ตลอดเวลาที่อยู่ในสนาม ไม่ว่ากี่ครั้งที่ส่งบอลไม่ถึงเพื่อน กี่ครั้งที่ถูกฝ่ายตรงข้ามหลอกจนล้มลุกคลุกคลาน กี่ครั้งที่ต้องไปเก็บบอลในตาข่ายมาเขี่ยใหม่ …พวกเขาไม่เคยหยุดวิ่ง ไม่เคยสูญเสียความเชื่อมั่น และไม่เคยหยุดพยายามที่จะบุกไปยิงประตูคืน แม้สุดท้ายจะทำไม่สำเร็จ

สิ่งหนึ่งที่หลายคนในทีมต่างค้นพบจากเกมฟุตบอลนัดนี้ คือไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มายืนอยู่ที่นี่ ได้ลงแข่งขันกับทีมที่คู่แข่งแต่ละคนเตรียมตัวฝึกซ้อมมาเป็นแรมปี และคู่แข่งของเขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงทักษะ ถึงความเข้าใจในระบบ และถึงความมั่นใจที่สั่งสมผ่านประสบการณ์ในเวทีระดับสูง …และนั่นคือสิ่งที่น้อง ๆ ทีม กสศ. ของเรา ตั้งเป้าว่าจะไปให้ถึงในสักวัน

‘ภูดอย’ กล่าวหลังจบเกมในฐานะกัปตันทีม กสศ. ว่า “ถึงผลการแข่งขันจะตรงข้ามกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่พวกเราภูมิใจที่ได้ลงไปทำเต็มที่ ได้ช่วยกันเล่นฟุตบอลอย่างที่ซ้อมกันมาตลอดสองเดือน สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือถึงจะถูกนำแต่ทุกคนไม่ท้อ ไม่หยุดวิ่ง ไม่ลืมทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ดังนั้นไม่มีอะไรต้องเสียดายครับ เพราะเราทุกคนรีดทุกอย่างออกมาหมดแล้ว
“…และก่อนจะกลับลำปาง ผมขอเป็นตัวแทนของทีมพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ ไปถึงกองเชียร์ทุกคนที่เป็นกำลังใจให้พวกเราครับ”
‘อิ๊กคิว’ ที่มุ่งมั่นว่าเขาจะ ‘มาเฉิดฉายที่กรุงเทพ ฯ’ บอกว่า “เป็นครั้งแรกที่จะได้เหยียบสนามศุภชลาศัย และเป็นครั้งแรกที่เล่นฟุตบอลแล้วมีคนดูเยอะขนาดนี้ สนามทั้งกว้างทั้งใหญ่และขลังมาก ๆ ก่อนลงไปเล่นรู้สึกกดดัน ตื่นเต้น เพราะก็คิดด้วยว่าอาจจะเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่ได้มายืนตรงนี้ แต่พอลงไปในสนามจริง ๆ ก็คิดแต่ว่าจะทำให้ดีที่สุด จนจบเกมถึงจะแพ้แต่ไม่มีอะไรที่เสียดายแล้ว มีแต่ความภาคภูมิใจที่พวกเราได้ต่อสู้ด้วยกัน
“เพราะถ้าย้อนถึงตอนแรก ๆ ที่ตั้งทีม พวกเราแพ้มาเยอะแยะมากมายครับ บางนัดโดนยิงเป็นสิบลูก แต่พอวันถัดมาเราก็ได้แต่คิดกันว่าอยากกลับไปแข่ง กลับไปทำให้ดีขึ้น แล้วพวกเราก็ค่อย ๆ แพ้น้อยลง จนบางนัดเริ่มมีเสมอ มีชนะ มันก็ช่วยให้เชื่อมั่นว่าพวกเราก็ทำได้ ส่วนนัดนี้ถึงจะแพ้ แต่เรารู้กันครับว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้แต่ละคนต้องผ่านอะไรมาบ้าง นี่ถึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนพูดได้ ว่าพวกเราภูมิใจครับ
“เราจะกลับไปพัฒนาตัวเอง ยิ่งเราแพ้ครั้งนี้ยิ่งหมายถึงเราต้องพยายามมากขึ้นอีกเป็นสองเท่าสามเท่า ฟุตบอลมันสอนเราครับ ว่าถ้าอยากชนะ ก็ต้องลุกขึ้นให้ได้ทุกครั้งที่แพ้ สุดท้ายอยากฝากถึงตากับยาย ว่าผมได้มาทำตามฝันแล้ว ตากับยายคงได้เห็นผมอยู่ในทีวี ว่าที่ทั้งสองท่านบอกผมให้ตั้งใจ ให้สู้ ๆ วันนี้ผมทำอย่างเต็มที่แล้วครับ”

‘จ่าเย็น’ มงคล ทศไกร อดีตทีมชาติไทย โค้ชของทีมที่ดูแลเด็ก ๆ มาตลอดสองเดือนเต็ม บอกว่า “สองเดือนที่อยู่ด้วยกัน ผมได้เห็นน้อง ๆ พยายามพิสูจน์ตัวเองในเรื่องฟุตบอล และเขายังได้เอาไปใช้กับการเรียนและการใช้ชีวิต ตอนนี้ทุกคนมีวินัย มีความรับผิดชอบ รู้จักการทำสมาธิ การทบทวนเป้าหมายของตัวเองในชีวิตประจำวัน เด็ก ๆ เหล่านี้ทำให้ผมเห็นว่าโอกาสที่เขาได้รับมันมีค่า มันคือจุดเริ่มต้นของความพยายาม ซึ่งนี่คือผลลัพธ์จริง ๆ ของการเดินทางครั้งนี้ ที่ผมเชื่อว่าทำให้น้อง ๆ หลายคนได้ค้นพบศักยภาพอีกหลายด้านในตัวเอง และจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงพวกเขาตลอดไป


“การทำงานของ กสศ. และผู้ใหญ่ที่ลำปางหลวง ทำให้ผมมั่นใจ ว่า ‘สนามฟุตบอลจะเป็นโรงเรียนของเด็ก ๆ ได้’ เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าการสร้างพื้นที่ที่เด็กได้โฟกัสกับการค้นหาความฝัน ได้อยู่กับสิ่งที่รักที่สนใจซึ่งโยงใยอยู่กับชีวิตตลอดเวลา มันจะเป็นหลักสูตรที่ทำให้เขาเข้าถึงแก่นแท้ของฟุตบอล แล้วมันไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนต้องมีปลายทางที่การเล่นอาชีพหรือติดทีมชาติ แต่มันยังมีฝันมีเส้นทางอื่นที่รายล้อม ที่วันหนึ่งเด็ก ๆ เหล่านี้อาจโตไปเป็นโค้ชฟุตบอล เป็นโค้ชฟิตเนส เป็นนักโภชนาการ เป็นนักกายภาพบำบัด หรืออาชีพใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล และนี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เพื่อจะเดินหน้าต่อไป โดยมีฟุตบอลนำพา”
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เด็ก ๆ ทีม กสศ. ตกผลึกจากการเดินทาง ว่า ‘ฟุตบอล’ ได้สอนให้พวกเขาลุกขึ้นทุกครั้งหลังผ่านความพ่ายแพ้ ไม่ว่าในสนามฟุตบอล หรือในทุกบททดสอบของชีวิต อย่างไรก็ตาม เส้นทางจากลำปางหลวงถึงเขตปทุมวันอันเป็นที่ตั้งของสนามศุภชลาศัย ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
อย่างเรื่องของ ‘จูเนียร์’ ที่เป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความรักในฟุตบอลเขาจึงไม่ยอมแพ้ และการมากรุงเทพ ฯ ครั้งนี้ น้องก็ได้ตรวจรักษาอย่างจริงจังจากแพทย์เฉพาะทาง ด้วยความร่วมมือของ กสศ. และภาคี เพื่อให้มั่นใจว่า ความฝันของจูเนียร์ในสนามฟุตบอลจะไปต่อได้โดยไม่มีอุปสรรค
หรือเรื่องของ ‘แทค’ จากโรงเรียนอนุบาลเกาะคา ที่ฮึดแก้ ร 14 ตัวจนสำเร็จก่อนเดินทางมาแข่งกับทีม และทำให้แทคจะได้จบชั้น ม.3 พร้อมกับเพื่อนหลังจบปีการศึกษา ซึ่งในวันแข่งขัน แทคบอกเราว่าแม่ของเขาที่อยู่กรุงเทพ ฯ ได้เข้ามาเชียร์ด้วย และเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบเกือบสามปี หลังจากแทคย้ายไปเรียนหนังสือที่ลำปาง

หลังจบเกม แทคไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าบอกว่าเขาดีใจ ทั้งการแก้ ร ได้หมด ได้มากรุงเทพ ฯ ได้เจอกับแม่ และได้ลงไปวิ่งในสนามเคียงข้างเพื่อน ๆ ทุกคน และเขาก็ไม่ทำให้โค้ชและแฟน ๆ ผิดหวัง เมื่อแทคออกตัววิ่งไล่ตามลูกฟุตบอลตั้งแต่ได้รับโอกาสลงสนาม และใส่สุดพลังที่มี จนก้าวเท้ากลับออกมาเมื่อถูกเปลี่ยนตัวออก
แทคทิ้งท้ายว่า “ผมอยากขอบคุณโค้ช ขอบคุณทุกคนที่ดูแลทีมเราอย่างดี ไม่ใช่แค่ในสนาม แต่รวมถึงเรื่องเรียนที่คอยเอาใจใส่ให้ผมแก้งานที่ค้างให้หมด …และสุดท้ายถึงเราแพ้ แต่กลับไปผมจะได้เรียนจนจบ ม.3 เทอมนี้ทันเพื่อน ๆ และแน่นอนว่าจะยังเล่นฟุตบอลต่อไป
“สุดท้ายผมอยากบอกว่า การได้รู้ว่ามีคนตั้งใจสนับสนุนเรา มันทำให้อยากเรียนหนังสือมากขึ้น อยากทำทุกอย่างให้ดี อยากทำให้ได้ เพื่อให้คนที่เชื่อมั่นในตัวเราดีใจ และมีความสุขไปกับความสำเร็จของเราครับ”
