“ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกดีกับการมาโรงเรียนตั้งแต่เล็กๆวันหนึ่ง…พวกเขาจะรู้ว่า ‘การเรียน’ คือเครื่องมือสร้างอนาคต”

“ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกดีกับการมาโรงเรียนตั้งแต่เล็กๆวันหนึ่ง…พวกเขาจะรู้ว่า ‘การเรียน’ คือเครื่องมือสร้างอนาคต”

“โอกาสที่ได้เรียนต่อจนจบปริญญา มาเป็นครู เป็นสิ่งที่ไม่ได้มาเพียงเพราะยากจน หากยากจนแต่ไม่ตั้งใจเรียน หรือ ไม่ได้เรื่องการเรียนเลย ก็จะไม่มีใครมาช่วยเรา”

1 ปี ของ ‘ครูหยกกี้’  ในวันที่ได้กลับมาเป็นต้นแบบของเด็กๆ ในชุมชนบนพื้นที่ดอยสูง

“แม้จะสอนเพียงระดับชั้นอนุบาล แต่ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้พยายามสร้างรากฐานที่ดีให้กับเด็กๆ พยายามปลูกฝังให้เด็กๆ เริ่มรักการเรียน รักการมาโรงเรียน  ทำให้พวกเขาค่อยๆ มองเห็น ว่า หากมีรากฐานในการเรียนที่ดี รู้สึกดีกับการมาโรงเรียนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก วันหนึ่ง เมื่อพวกเขาโตขึ้น ก็จะได้รู้ว่าการเรียนจะเป็นเครื่องมือที่คอยช่วยให้สามารถต่อสู้เพื่อสร้างอนาคตที่ดีได้  และเมื่อมีโอกาสถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้กับเด็กในชุมชนคริสต์ หนูก็บอกกับเด็กๆ ว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยากเป็นครูเหมือนหนู ทุกคนต้องมองหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง โดยเริ่มจากการมาโรงเรียน ใช้สิ่งที่เรียนรู้จากที่นี่ ซึ่งเหมาะกับช่วงวัยของแต่ละคน เป็นเครื่องมือในการค้นหาอนาคตของตัวเอง”

(กลาง) ‘ครูหยกกี้’  รัศมี ศักดิ์ดำรงศรี  ครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 1

‘ครูหยกกี้’  รัศมี ศักดิ์ดำรงศรี ครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 1 จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เล่าถึงประสบการณ์การทำงานสอนตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ที่ โรงเรียนบ้านนากลาง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นชุมชนบ้านเกิด

ครูหยกกี้เล่าว่า โรงเรียนบ้านนากลาง ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างทุรกันดารบนภูเขาสูง เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียน 69 คน นักเรียนทั้งหมดเป็นเด็กชาติพันธุ์กะเหรี่ยง เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 2 ถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา รับผิดชอบสอนชั้นอนุบาล 2 มีนักเรียนทั้งหมด 4 คน เด็กแต่ละคน พูดภาษาไทยแทบไม่ได้เลย ทุกคนสื่อสารกันด้วยภาษาถิ่น คือ ภาษากะเหรี่ยง

“โรงเรียนใช้วิธีจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาษา สอนสองภาษาควบคู่กันไป โดยใช้ภาษาแม่หรือภาษาถิ่นเป็นหลัก  ช่วยแก้ปัญหาเด็กไม่เข้าใจ หรือเข้าใจไม่ตรงกับที่ครูสอน เน้นการสื่อสารกับเด็ก ตั้งแต่เริ่มเป็นครูที่นี่ สิ่งที่ได้พยายาม เป็นพิเศษก็คือ การพยายามสอนให้เด็กๆ ใช้ภาษาไทยเพื่อสื่อสารให้ได้ดีที่สุด พยายามให้พวกเขาเก่งภาษาไทยมากขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองเด็ก ต้องการให้เกิดขึ้นกับลูกๆ เพราะทราบดีว่าหากมีพื้นฐานภาษาไทยดีขึ้น ก็จะมีโอกาสในการเรียนมากขึ้น

ชุมชน เคยเห็นหนูตั้งแต่ยังเด็ก จึงได้เห็นพัฒนาการด้านบวกของเด็กคนหนึ่ง ได้เห็นเด็กธรรมดาที่โตขึ้นมาเป็นครูสอนในโรงเรียนของชุมชน ผู้ปกครองซึ่งคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว  ก็จะไว้ใจหนูมาก ทุกคนในชุมชน ทั้งผู้ใหญ่ ผู้ปกครองเด็ก ในชุมชน ได้เห็นว่าเด็กซึ่งมาจากครอบครัวเกษตรกร ที่ค่อนข้างลำบาก สามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเอง สร้างอนาคตที่ดี ด้วยการตั้งใจเรียนหนังสือได้”

ครูหยกกี้ เล่าย้อนไปถึงช่วยก่อนที่จะได้รับทุนเรียนครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 1 ว่า ฐานะทางบ้านค่อนข้างลำบาก ครอบครัวซึ่งมีลูกสาวในวัยที่ใกล้เคียงกันถึง 4 คน มีกำลังส่ง ให้ลูกเรียนหนังสือได้เพียงแค่การศึกษาภาคบังคับ โอกาสที่จะได้เรียนไปถึงระดับปริญญาตรี เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก

“โอกาสที่ได้รับจากทุน ครูรัก(ษ์)ถิ่นได้ถูกส่งต่อ ไปยังเด็กๆ สิ่งที่ถูกส่งต่อ  ไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่การงานของหนู แต่เป็นเรื่องราว ที่ทำให้เด็กคนอื่นๆ เชื่อมั่นว่า ทุกคนสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ ด้วยการตั้งใจเรียน ทุนเรียนครูรัก(ษ์)ถิ่นที่หนูได้รับ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจ หนูบอกกับเด็กๆ ว่า หากตั้งใจเรียนก็จะมีโอกาสที่ดี มีอนาคตที่ดีรออยู่ เพราะตัวครู ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ทุนการศึกษาซึ่งช่วยให้ครูมีโอกาสได้เรียนต่อ เป็นสิ่งที่ไม่ได้มาเพียงเพราะครูเป็นคนยากจน หากยากจนแต่ไม่ตั้งใจเรียน หรือ ไม่ได้เรื่องการเรียนเลย ก็จะไม่มีใครมาช่วยเรา”

“ชุมชนที่นี่ มีเด็กที่จบมา ทำงาน เป็นข้าราชการครูน้อยมาก หนูเป็นคนที่ 2 ของชุมชน เด็กๆ ส่วนใหญ่ เรียนหนังสือ แค่ในระดับชั้น ป.6 หรือระดับการศึกษาภาคบังคับ เพื่อไปทำงานในไร่ข้าวโพด มีเด็กที่ตัดสินใจเรียนต่อเหนือระดับที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับน้อยมาก ในอนาคต หนูอยากจะช่วยปั้นเด็กในชุมชน สอนให้พวกเขา เห็นคุณค่าในตัวเอง มองหาความถนัดของตัวเอง ไม่อยากให้พวกเขาทิ้งการเรียน อยากให้เด็กชาติพันธุ์ โตขึ้นอย่างมีอนาคตอันสดใส เหมือนเด็กในพื้นที่อื่น ๆ ”