– การศึกษายืดหยุ่น คือ ระบบที่ช่วยให้เด็กที่มีภาระชีวิตหรือเงื่อนไขพิเศษไม่ต้องหลุดจากระบบการศึกษา โดยสามารถเรียนออนไลน์ เทียบโอนประสบการณ์ชีวิตเป็นหน่วยกิต และจัดตารางเรียนให้เหมาะกับบริบทของแต่ละคน ส่งผลให้โอกาสทางการศึกษากลับมาอยู่ในมือเด็กอย่างแท้จริง
-กรณี “น้องหน่อย” สุพรรณวดี เจเถือน สะท้อนว่าการปรับการศึกษาให้เข้าหาเด็กมีพลังเปลี่ยนเส้นทางชีวิตได้ จากเด็กที่คิดว่าไม่มีโอกาสเรียนต่อเพราะต้องดูแลแม่ที่ป่วย กลับสามารถเรียนจนจบ ม.ปลาย ก้าวเข้าสู่งานด้านการบริบาล และเริ่มฝึกงานในโรงพยาบาลได้ ด้วยความตั้งใจและการสนับสนุนที่ถูกที่ถูกเวลา
– “ก้าวใหม่ของชีวิต” น้องหน่อยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เธอมุ่งมั่นสร้างอนาคต ดูแลครอบครัว และเดินหน้าสู่การเป็นพยาบาล เธอยืนยันว่าการเข้าถึงการศึกษาช่วยให้เธอมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น มีศักดิ์ศรี มีรายได้ และสามารถก้าวพ้นความยากจนข้ามรุ่นได้


ผู้ป่วยระยะสุดท้ายนอนซมอมทุกข์ โอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่บนเตียงด้านในสุด ขณะเดียวกันผู้ป่วยเตียงตรงข้ามกำลังรับประทานอาหารท่ามกลางหมู่ญาติอย่างมีความสุข เตียงถัดมาไม่ไกลนัก พยาบาลปรับสายน้ำเกลือเพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นพลังคืนกลับมาอีกครั้ง ส่วนเตียงที่อยู่ติดกัน ผู้ช่วยพยาบาลอีกคนกำลังเช็ดทำความสะอาดร่างกายให้ผู้ป่วยติดเตียงอย่างขะมักเขม้น
บรรยากาศนี้คือภาพของวอร์ดผู้ป่วยรวมในโรงพยาบาลทั่วไทย ไม่ต่างอะไรนักกับวอร์ดของโรงพยาบาลหัวหินที่เรามาเยือนในวันนี้
วันนี้ น้องหน่อย-สุพรรณวดี เจเถือน กำลังก้าวสู่การเป็นผู้ช่วยพยาบาลฝึกหัด ณ โรงพยาบาลหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ การหยิบยื่นโอกาสครั้งสำคัญนี้ เปลี่ยนแววตาที่ดูหม่นหมองให้กลายเป็นประกายตาแห่งความหวัง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจประจำวันบนวอร์ดผู้ป่วย เรามีโอกาสชวนเธอมานั่งพูดคุยกันถึง “ก้าวใหม่ของชีวิต”

จาก “ตอนนั้นก็คิดว่าไม่มีโอกาสเรียนต่อแล้ว” สู่การศึกษายืดหยุ่น
ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กเยาวชนวัย 3-18 ปีกว่า 8 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเด็กกว่า 10% หรือราว 8.8 แสนคนที่ไม่มีโอกาสทางการศึกษา นอกจากปัญหาความยากจน ยังมีปัญหาอีกมากมายที่เป็นต้นเหตุการตัดโอกาสทางการศึกษาของเด็ก อย่างโจทย์ชีวิตของน้องหน่อยที่ต้องดูแลแม่ที่ป่วย ทำให้การศึกษาซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตเธอกลายเป็นเรื่องรอง แต่เมื่อการศึกษาปรับตัวเข้าหาน้องหน่อย ปลดล็อกโอกาสให้เธอเข้าถึงการศึกษา โจทย์ชีวิตถูกคลี่คลาย โอกาสต่างๆ ก็เปิดกว้างทันที
“ตอนนั้นแม่หนูป่วยเป็นมะเร็งค่ะ พ่อทำงานขับรถหารายได้แต่ก็เป็นข้อเสื่อมด้วย หนูก็เลยต้องหยุดเรียนมาเฝ้าดูแลแม่แทน พอไม่ได้ไปเรียนนาน ๆ ครูก็มาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ตอนนั้นก็คิดว่าไม่มีโอกาสเรียนต่อแล้ว พอครูรู้ว่าเรามีปัญหาแบบนี้ ไม่สามารถเรียนแบบปกติได้ ก็เลยแนะนำให้หนูเข้าระบบการศึกษายืดหยุ่นแทน” น้องหน่อยย้อนเล่าถึงสาเหตุที่ต้องออกจากระบบการศึกษา
โรงเรียนมหาราช 7 จ.ราชบุรี มีระบบการศึกษารูปแบบใหม่ภายใต้โครงการ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” ที่ช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ไม่สามารถเรียนตามระบบปกติได้ โดยสามารถเลือกเรียนผ่านระบบออนไลน์ควบคู่กันไป เทียบโอนประสบการณ์การทำงานมาเป็นหน่วยกิตการเรียน รวมถึงปรับการศึกษาให้เหมาะกับบริบทของเด็กแต่ละคน กระบวนการที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมนี้ ช่วยให้เด็กๆ ต่อยอดสู่การศึกษาในระดับที่สูงขึ้นได้

“ที่ผ่านมาหนูต้องเปลี่ยนจากการไปโรงเรียนมาเรียนออนไลน์แทน คุณครูก็จะส่งใบงานมาให้ทำ สลับกับการเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนบ้าง ถ้าถามเรื่องการเรียนก็อาจจะไม่ต่างค่ะเพราะก็เรียนพร้อมเพื่อนเหมือนตอนไปโรงเรียนปกติ เพียงแต่เราไม่ได้เรียนอยู่ในห้องเรียน จะมีปัญหาบ้างก็ตรงที่เราไม่ได้เจอเพื่อน นั่งเรียนคนเดียวบางทีก็เหงา ไม่มีเพื่อนคอยคุยหรือคอยปรึกษา คิดว่าถ้าได้เรียนกับเพื่อนด้วยคงสนุกกว่า คงมีความสุขกว่า แต่เราก็ต้องปรับตัว ตรงนี้ก็เลยทำให้เราต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นด้วย”
“ตอนเรียนจบ ม.ปลาย ทางโรงเรียนอนันตรักษ์การบริบาลมาออกบูธแนะแนวการศึกษาต่อที่โรงเรียนค่ะ หนูอยากเรียนต่อที่นี่มากก็เลยไปปรึกษาครู ครูก็ช่วยประสานงานจนทำให้เราได้รับโอกาสจาก กสศ. ให้เรียนต่อที่นี่”
โอกาสครั้งนี้ทำให้เธอสามารถดูแลครอบครัวและเรียนหนังสือไปพร้อมกันจนจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย แต่ตอนนั้นน้องหน่อยก็ไม่คาดคิดว่าประตูบานนี้จะนำพาเธอก้าวต่อไปอีกขั้น ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
สายงานด้านการบริบาลนับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะปัจจุบันสังคมไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และอีกไม่นานเราก็จะก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ตลาดแรงงานในสายวิชาชีพแพทย์และการบริบาลนี้จึงมีอนาคตที่สดใส เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า“หนูชอบและอยากเรียนด้านนี้อยู่แล้วค่ะ ที่ผ่านมาหนูได้ดูแลแม่ที่ป่วยด้วย คิดว่าประสบการณ์นี้เหมือนได้ฝึกการเป็นพยาบาลมาบ้าง ก็น่าจะทำให้เราเรียนได้ดี เรียนไม่นานก็สามารถทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้เลย ไม่ต้องเป็นภาระใคร แล้วก็ยังนำความรู้กลับมาดูแลครอบครัวได้ด้วย”

ครูพี่เลี้ยงที่คอยดูแลน้องหน่อยตอนนี้ก็คือ ครูเชอรี่-สโรชา บุญมีสุข แห่งโรงเรียนอนันตรักษ์การบริบาล ที่เฝ้าเห็นการก้าวเดินของน้องหน่อย
“จากตอนแรกที่ดูเป็นคนเงียบ ไม่กล้าพูด ไม่มีความมั่นใจ กลัวไปหมดทุกอย่าง ตอนนี้น้องพัฒนาขึ้นเยอะ เริ่มกล้าพูด กล้าถาม กล้าทำมากขึ้น จุดแข็งคือเขามีความตั้งใจที่อยากเรียนและทำอาชีพนี้จริง ๆ ค่ะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญมาก เพราะถ้าคนไม่ชอบจริง ๆ ทำไม่ได้แน่นอน แล้วข้อดีของน้องอีกอย่างคือไม่รังเกียจผู้ป่วย สำหรับคนที่อยากทำงานสายนี้มันสำคัญมาก เรื่องที่อยากฝากคืออยากให้น้องฝึกความอดทน มีระเบียบวินัยให้มากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเขายังอยู่ในช่วงวัยรุ่น อารมณ์แปรปรวนบ้าง แล้วก็ต้องจากครอบครัวมาอยู่คนเดียวด้วย แต่คิดว่าถ้าโตขึ้นอะไรต่าง ๆ น่าจะดีขึ้นค่ะ”
เมื่อให้น้องหน่อยประเมินตัวเองนับตั้งแต่วันเริ่มต้นจนถึงการลงสนามฝึกงานจริง เธอตอบว่า “ตอนแรกคิดว่ายาก คงทำไม่ได้ แต่พอเริ่มงานไปได้สักพักก็เริ่มเรียนรู้และเข้าใจขึ้นค่ะ ปัญหาส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเรารู้สึกกดดัน กลัวพี่ ๆ จะดุ แต่จริง ๆ พี่ ๆ ใจดีมาก สอนงานให้หนูเยอะเลย ครูพี่เลี้ยงก็คอยดูแลและแนะนำตลอด ตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราพัฒนาขึ้นกว่าเดิมเยอะมากค่ะ”
ส่วนความสุขในการทำงานด้านการบริบาลนี้คือ“การได้ดูแลคนไข้ค่ะ ได้คุยกับเขา ได้แชร์เรื่องต่างๆ กัน หนูชอบเดินไปดูแลเตียงที่ไม่มีญาติ เข้าไปคุยกับเขา เป็นเพื่อนเขา เพราะประสบการณ์ชีวิตทำให้เราเข้าใจจุดนี้ เหมือนเราได้ดูแลญาติในครอบครัว ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เหงา เอ็นดูเราเหมือนลูกเหมือนหลาน หนูชอบตอนป้อนข้าวค่ะ คนป่วยกินได้เขาก็มีความสุข เราเห็นก็มีความสุขไปด้วย”

หนึ่งในนักเรียนรุ่นแรกจากระบบการศึกษายืดหยุ่นที่ส่งต่อสู่สถาบันการศึกษาสายวิชาชีพ
จุดเปลี่ยนของชีวิตน้องหน่อยมีหัวเรือใหญ่อย่าง ดร.พรระวี สีเหลืองสวัสดิ์ ผู้บริหารโรงเรียนอนันตรักษ์การบริบาล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้คอยนำทาง
“ที่นี่เรามีปรัชญาว่า ‘ส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้สู่โลกอาชีพ’ เราอยากให้ทุกคนมีโอกาสได้เรียนรู้เพื่อที่จะได้มีอิสระในการเลือกอาชีพ เราเชื่อว่าการศึกษาจะทำให้คนสามารถเปลี่ยนสถานะและข้ามชนชั้นได้ในช่วงชีวิตเดียว อาชีพที่มั่นคงจะช่วยขยับจากความยากจนได้ เมื่อคนมีคุณภาพมากขึ้นประเทศก็จะพัฒนาขึ้น”
ด้วยปรัชญานี้เอง จึงทำให้โรงเรียนอนันตรักษ์การบริบาลเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวไปข้างหน้า และน้องหน่อยนับเป็นหนึ่งในนักเรียนรุ่นแรกจากระบบการศึกษายืดหยุ่นที่ส่งต่อสู่สถาบันการศึกษาสายวิชาชีพนี้
“เคสของน้องหน่อยถือเป็นกรณีพิเศษที่เราอยากลองให้โอกาสกับเด็ก เดิมทีเราจะไม่รับเพราะเขาเพิ่งอายุ 17 ยังเด็กเกินไป หลายอย่างอาจไม่พร้อม แต่ด้วยความที่เขาอยากเรียนมาก เราก็เลยอยากลองดู ปรากฏว่าเขาก็ทำได้ดีเลยค่ะ ก็จะมีปัญหาเรื่องการเรียนอยู่บ้างอย่างเช่นเรื่องภาษา เรื่องความรู้ทางการแพทย์ เขาก็จะช้ากว่าคนอื่นหน่อย แต่ก็จะมีข้อดีตรงที่เขากระตือรือร้น อยากรู้ว่าอาชีพนี้ทำอะไรบ้าง การดูแลผู้ป่วยที่ถูกต้องควรทำอย่างไร อาจเป็นเพราะตอนดูแลแม่ที่ป่วยเขามีทักษะเดิมอยู่บ้างแล้ว มาเรียนตรงนี้ก็เลยทำให้เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น ตอนมาฝึกงานจริงที่โรงพยาบาล เขาก็ช่วยดูแลผู้ป่วยได้ดีทีเดียวค่ะ
“หากเราบังคับให้เด็กเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ เด็กก็จะไม่อยากเรียนหรือเกลียดการเรียนไปเลย เพราะพื้นฐานเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซ้ำร้ายอาจทำให้เขาหยุดเรียนกลางคัน เช่นเดียวกับเด็กที่พื้นฐานไม่พร้อม หากเข้ามาเรียนในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็อาจเกิดผลลัพธ์ในทางร้ายเช่นเดียวกัน แทนที่จะส่งเสริมให้เด็กเติบโต แต่ความหวังดีนี้อาจทำร้ายเขาโดยไม่รู้ตัว”


จากข้อสังเกตเหล่านี้ทำให้ดร.พรระวี มีข้อเสนอแนะเรื่องการคัดกรองเด็กที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ด้วยความที่หลักสูตรของเราอยู่ในสายวิชาชีพแพทย์ เด็กควรมีพื้นความรู้ทางสายวิทย์มาบ้าง ซึ่งจะช่วยทำให้เข้าใจตำราและเรียนง่ายขึ้น ตรงนี้เราอยากแนะนำให้มีหน่วยงานเพื่อคัดกรองเด็กในระบบการศึกษายืดหยุ่นก่อน รวมถึงคัดเลือกเด็กที่อยากเรียนด้านนี้จริง ๆ เพราะมันจะเป็นผลดีกับตัวเด็กเอง” ดร.พรระวี เสริมว่าหากเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันแล้วต้องถือว่าศักยภาพของน้องหน่อยอยู่ในระดับดี หากไม่ล้มเลิกการทำงานในสายอาชีพนี้ไปเสียก่อน เชื่อว่าเขาจะทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่อนาคตไกลอย่างแน่นอน
เมื่อโจทย์ชีวิตถูกคลี่คลาย โอกาสต่างๆ ก็เปิดกว้างทันที
วันนี้ที่น้องหน่อยได้รับโอกาสกลับเข้าสู่ระบบการเรียนอีกครั้งในรูปแบบที่ตอบโจทย์ชีวิต สิ่งที่ตามมาคือความภูมิใจเล็กๆ ที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้เธอมากยิ่งขึ้น
“การได้กลับมาเรียนอีกครั้งทำให้หนูรู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองมากค่ะ เหมือนเราค้นพบโอกาสใหม่ มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้พัฒนาตัวเอง สามารถวางแผนในอนาคตได้ชัดเจนขึ้นค่ะ
ปัจจุบันมีเด็กไทยหลุดจากระบบการศึกษากว่า 8.8 แสนคน พวกเขายังคงรอคอยการถูกค้นพบ ตัวน้องหน่อยเองก็มีเพื่อนที่หลุดจากระบบการศึกษาด้วยเช่นกัน
“มีเพื่อนที่ไม่ได้เรียนต่อเพราะเขาต้องออกไปทำงาน จริง ๆ ก็อยากให้เขาได้โอกาสแบบเรา อยากให้เขากลับมาเรียน เพราะจะได้หางานที่ดีขึ้น มีรายได้เยอะขึ้น อยากให้เมืองไทยมีระบบการศึกษายืดหยุ่นแบบนี้มากขึ้นค่ะ จะช่วยให้เด็กหลายคนได้เรียน สำหรับคนที่ไม่มีเงิน มันช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เยอะ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ หรือได้ทุนเรียนต่อ ทำให้เลือกโอกาสในชีวิตได้มากขึ้น”

แม้เส้นทางการศึกษาของน้องหน่อยจะขรุขระบ้าง แต่การก้าวผ่านอุปสรรคจนได้ ทำให้เธอก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ประกายตาแห่งความหวังสะท้อนบนใบหน้าของเธอ
“การศึกษาสำคัญมากค่ะ เพราะทำให้เรามีโอกาสเพิ่มมากขึ้น สามารถเลือกทำงานได้เยอะขึ้น มีรายได้ที่สูงขึ้น ทำให้เราเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น ถ้าเราความรู้น้อย โอกาสการทำงานเราก็จะลดลง ฝึกงานตรงนี้เสร็จ ก็คงจะไปทำงานต่อกับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุของทางโรงเรียน ตั้งใจว่าจะทำงานหาเงินก่อน เลี้ยงตัวเองและพ่อให้ได้ แล้วเก็บเงินไปเรียนต่อด้านพยาบาล เป็นอาชีพที่เราฝันไว้ แล้วก็อยากทำให้พ่อภูมิใจด้วยค่ะ”
ถึงเวลาแล้วที่การศึกษาจะยืดหยุ่นและคล่องตัว เพื่อตอบโจทย์ชีวิตเด็กไทย
ระบบนิเวศการศึกษายืดหยุ่นประกอบไปด้วยผู้เรียน ครูผู้สอน ชุดทักษะความรู้ รูปแบบการเรียนรู้ สถานที่เรียนรู้ ตารางการเรียน ความเร็วในการเรียน และระบบวัดผล ซึ่งทุกอย่างควรออกแบบให้ยืดหยุ่น เปิดกว้าง และตอบโจทย์ชีวิตผู้เรียน แนวทางนี้สอดคล้องกับแนวคิดขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่มองว่าการศึกษายืดหยุ่นเป็นวิธีช่วยให้ผู้เรียนสามารถกำหนดการเรียนรู้ของตนเองได้
โรงเรียนหรือบุคลากรทางการศึกษาที่สนใจการศึกษายืดหยุ่น
สามารถรับข้อมูลและปรึกษาแบบตัวต่อตัว ได้ที่ LINE OA กสศ.การศึกษายืดหยุ่น หรือคลิก
