โลกกำลังหมุนเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงโครงสร้างประชากรกำลังเปลี่ยนไปพร้อมกัน และคนที่ต้องอยู่กลางพายุการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ก็คือ Gen Z หรือคนที่เกิดระหว่างปี 1997–2012 ช่วงอายุ 13–28 ปี ในวันนี้
Gen Z คือเจเนอเรชันที่เติบโตมากับสมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย พวกเขาคือแรงงานหลักของโลกในทศวรรษนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเจอกับ “โจทย์ยาก” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับคนรุ่นไหนมาก่อน
บนเวที อว.แฟร์ 2025 ที่จัดโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ชวนสังคมมาร่วมกัน “ถอดรหัส Gen Z” เพื่อหาคำตอบว่าเราจะ “เรียนให้ใช่” และ “ไม่หลุดเทรนด์” ได้อย่างไร

ข้อควรรู้เพื่อเตรียมพร้อมอนาคต
ท่ามกลางความผันผวน โลกการทำงานไม่เหมือนเดิม ตำแหน่งงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นรวดเร็ว 3 ทักษะสำคัญ ที่นายจ้างอยากได้มากที่สุด คือ 1.ทักษะการใช้งาน-ควบคุม-พัฒนาเทคโนโลยี 2.ทักษะอารมณ์สังคม (Social Emotional Skills) ที่ช่วยปรับตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ และ 3.ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Continuous Learning) เพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนเร็วในทุก ๆ 3-5 ปี
“หากใครมี 3 ทักษะนี้ติดตัว ย่อมหมายถึงโอกาสเข้าถึงตำแหน่งงาน ทั้งยังเป็นคุณสมบัติซึ่งจะช่วยการันตีความก้าวหน้าบนเส้นทางอาชีพ
“ประเด็นน่าสนใจคือบางทักษะในกลุ่มนี้ ไม่อาจสั่งสมเก็บเกี่ยวได้จากตำราหรือห้องเรียน แต่เป็นคุณลักษณะที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก ผ่านบทเรียน ประสบการณ์ และความตระหนักรู้ ว่าโลกใบนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง และไม่มีชุดความรู้หรือความเชี่ยวชาญใดคงอยู่ได้ตลอดไป” — ดร.ไกรยส ภัทราวาท

โลกของ Gen Z โตมากับเทคโนโลยีและความไม่แน่นอน
สำหรับ Gen X และ Gen Y การจบปริญญาเคยเป็น “คำตอบ” ของความสำเร็จ แต่สำหรับ Gen Z อาจไม่ใช่ เพราะเขาโตมาพร้อมกับพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดรวดเร็วกว่า ผลสำรวจ Deloitte Gen Z & Millennial Survey 2025 พบว่า คนรุ่นนี้มองว่า “ใบปริญญา” ไม่ได้การันตีอนาคตอีกต่อไป เพราะ ต้นทุนสูง ทั้งยังเสียเวลาและค่าใช้จ่าย แต่โอกาสงานกลับไม่แน่นอน คน Gen Z จึงเลือก เรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ลงมือทำตั้งแต่อายุยังน้อย และเริ่มสร้างรายได้เร็วขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นยูทูบเบอร์, คอนเทนต์ครีเอเตอร์, อินฟลูเอนเซอร์ และคนทำงานสายดิจิทัลมากมายในวัย 15-18 ปี ซึ่งบางคนตั้งหลักเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่ยังไม่เรียนจบ
“งานเหล่านี้เป็นอาชีพในฝันหรืออาชีพยอดฮิตของคน Gen Z ส่วนหนึ่งศึกษาเรียนรู้และลงมือทำด้วยตัวเอง จนหารายได้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และบางคนประสบความสำเร็จรวดเร็วจนตั้งหลักทำงานเลี้ยงชีพได้ตั้งแต่ยังไม่จบการศึกษา”

ความท้าทายซ่อนอยู่ใน “โลกออนไลน์” มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง
โลกออนไลน์ไม่ได้มีแต่โอกาส ผลสำรวจด้านสุขภาวะของ Gen Z ชี้ว่า การใช้เวลาในโซเชียลมีเดียมากเกินไป เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า ความเครียด และความวิตกกังวลที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด-19
นี่ทำให้เกิดคำถามว่า
“แล้วการศึกษาและชีวิตในโลกจริง ควรปรับตัวอย่างไร เพื่อให้ Gen Z ไม่หลุดทั้งจากเทรนด์ และจากความสมดุลของชีวิต?”
ก่อนจะตอบคำถามเหล่านี้ ดร.ไกรยส ชวนขบคิดประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน และอาจเป็นกุญแจที่จะไขไปสู่คำตอบข้างต้น คือ “ทำไมเด็กเยาวชนไทยจำนวนมากยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการมุ่งหน้าไปทางไหน? ไม่อาจค้นพบว่าตนถนัดหรือมีความสามารถใด? หรือส่วนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ทำไมบางคนยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเรียนมานั้นใช่หรือยัง?”

เมื่อเยาวชนจำนวนมาก ‘ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร’ เลยหายไปจากระบบการศึกษากลายเป็นกลุ่ม NEET
หนึ่งในประเด็นที่น่ากังวล คือการเติบโตของกลุ่ม NEET (Not in Education, Employment, or Training) เยาวชนกลุ่มนี้ ไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำงาน และไม่ได้พัฒนาตัวเอง ในทักษะใหม่ ๆ
“กลุ่ม NEET มีทั้งเยาวชนที่ขาดแคลนทรัพยากรการศึกษา กลุ่มที่ขาดความพร้อมด้านคุณภาพชีวิต หรืออีกส่วนหนึ่งคือกลุ่มที่อาจเรียนจบแล้ว แต่ไม่อาจค้นพบที่ทางของตนในโลกการทำงาน จึงถอยกลับออกมาและไม่คิดจะกลับไปอีก
“ประเด็นสำคัญของการพัฒนาเด็กเยาวชนไทยวันนี้ จึงเป็นเรื่องของการสร้างระบบการศึกษาที่เอื้อต่อคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่โอกาส ทรัพยากร การดูแลช่วยเหลือในทุกมิติชีวิต รวมถึงกระบวนการค้นหาตัวเอง” — ดร.ไกรยส ภัทราวาท

ข้อมูลจาก กสศ. พบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนนอกระบบกว่า 900,000 คน และราว 300,000 คนเป็นกลุ่ม Gen Z ตัวเลขนี้คือสัญญาณเตือนว่า เรากำลังสูญเสียศักยภาพของคนรุ่นใหม่จำนวนมหาศาล
ดร.ไกรยสฉายภาพสถานการณ์การศึกษาไทยว่า ตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่มีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับ ม.3 โดยมีจำนวนปีเฉลี่ยที่อยู่ในระบบการศึกษาเพียง 9 ปี เท่านั้น และในบรรดาเยาวชนทั้งรุ่น มีเพียงประมาณ 30% ที่สามารถก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยได้
หากเจาะลึกไปที่กลุ่มเยาวชนจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน สถานการณ์ยิ่งน่ากังวลกว่าเดิม เพราะมีเพียง 13% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้
รายงาน World Economic Forum 2025 ยังสะท้อนอีกว่า แม้ในกลุ่มเยาวชนที่เข้าสู่ตลาดแรงงานแล้ว จำนวนมากยังขาดทักษะด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญในยุคปัจจุบัน และกำลังกลายเป็น “แกนหลัก” ที่จะกำหนดทิศทางชีวิต การทำงาน และโอกาสในอนาคต
“รัฐและหน่วยงานต่าง ๆ จำเป็นต้องให้ความสำคัญเร่งด่วน เพื่อลดการเพิ่มจำนวนของกลุ่ม NEET ด้วยการพาเยาวชนกลุ่มนี้กลับสู่เส้นทางเรียนรู้ และส่งต่อสู่การศึกษาระดับสูงตามศักยภาพ รวมถึงการระดมทรัพยากรคุณภาพไปที่เด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยงเพื่อไม่ให้หลุดไปจากระบบการศึกษา”

AI ไม่ได้เข้ามาแย่งงานมนุษย์ แต่คือเครื่องมือเปลี่ยนวิธีคิด วิธีเรียน และวิธีใช้ชีวิตไปตลอดกาล
แม้วันนี้หลายสำนักข่าวบอกว่า AI (Artificial Intelligence) และระบบอัตโนมัติ (Automation) กำลังทำให้คนตกงาน แต่รายงาน World Economic Forum 2025 ชี้อีกมุมว่า “โลกยังขาดคนทำงาน” โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ข้อมูล การควบคุมพัฒนาเทคโนโลยี เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) การเกษตรนวัตกรรม และการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย
“ด้วยทิศทางของโลกที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและเกษตรกรรม เพื่อรองรับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เช่น ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติ หรือปัญหาจากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ และอีกประเภทงานที่แนวโน้มความต้องการกำลังคนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คืองานเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ เมื่อหลายประเทศเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยเต็มตัว และยังมีอีกหลายประเทศที่ค่อย ๆ มีประชากรสูงวัยเข้ามาเป็นสัดส่วนประชากรหลัก”


จะเห็นได้ชัดว่า งานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์นวัตกรรม กำลังกลายเป็น “เทรนด์” และเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ในตลาดแรงงาน ซึ่งไม่เพียงเปิดโอกาสในการทำงาน แต่ยังการันตีโอกาสสร้างรายได้ที่มั่นคงในอนาคต
ในทางกลับกัน งานที่พึ่งพาทักษะทำซ้ำ ทำเร็ว ทำเหมือน หรือทำให้ต้นทุนถูก กำลังถูกระบบ Automation และเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหมายความว่า คนทำงานจำเป็นต้องพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อไม่ถูก Disrupt จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
“AI ไม่ได้เข้ามาแย่งงานมนุษย์ แต่มันคือเครื่องมือที่จะเปลี่ยนวิธีคิด วิธีเรียน และวิธีใช้ชีวิตของเราไปตลอดกาล คนที่ไม่เรียนรู้และไม่ปรับตัวอาจจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”

3 ชุดทักษะ ที่ Gen Z ต้องมีเพื่อ “เรียนให้ใช่” และ “ไม่หลุดเทรนด์”
ดร.ไกรยสชี้ว่าทักษะสำคัญที่อาจช่วยการันตีความสำเร็จของ Gen Z ในโลกการทำงานยุคใหม่ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1.ทักษะการใช้งาน-ควบคุม-พัฒนาเทคโนโลยี (Digital & Tech Skills) คือความสามารถในการเข้าใจและใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างโอกาสและมูลค่าเพิ่มในตลาดแรงงาน
2.ทักษะอารมณ์สังคม (Social Emotional Learning: SEL) คือครอบคลุมความยืดหยุ่นทางปัญญา ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การทำงานเป็นทีม การยกระดับศักยภาพทีมงาน และภาวะผู้นำ ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ ทักษะเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จาก การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน มากกว่าการอ่านจากตำรา
3.การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Continuous Learning) เป็นความสามารถในการปรับตัว พัฒนาตัวเอง และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อ “ยืนระยะ” ท่ามกลางความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

เปลี่ยนมหาวิทยาลัย เพื่อเปลี่ยนอนาคต
เมื่อพิจารณาจากความคาดหวังในคุณสมบัติของคนทำงานยุคใหม่แล้ว หากย้อนกลับไปดูที่ “ต้นทาง” อย่างสถาบันการศึกษา จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยจำเป็นต้องเร่งปรับตัว เพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สถาบันผลิตบัณฑิตต้องมุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตรที่หลากหลายและยืดหยุ่น เช่น หลักสูตร Multi-Skills เพื่อสร้างคนที่ทำงานได้หลายด้าน หนึ่งคนทำงานได้มากกว่าหนึ่งสายงาน, หลักสูตรด้านบริการทางกายภาพ และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism), หลักสูตรเกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart Agriculture / Smart Farm) และหลักสูตรที่เน้นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อรองรับเศรษฐกิจเชิงนวัตกรรม
มหาวิทยาลัยยังจำเป็นต้องปรับปรุงหลักสูตรในสาขาวิชาอื่น ๆ ให้ทันต่อทิศทางความต้องการของตลาดแรงงาน และสอดรับกับรอบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทุก ๆ 3–5 ปี เพื่อไม่ให้บัณฑิตตกขบวนของโลกการทำงานยุคใหม่
“การปรับตัวนี้จำเป็น เพราะทักษะที่ตลาดต้องการวันนี้ อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกับอีก 3 ปีข้างหน้า” — ดร.ไกรยส ภัทราวาท

ถ้ารอพัฒนาเด็กตอน ม.ปลาย… อาจสายเกินไปแล้ว
ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วกว่าเดิมหลายเท่า การพัฒนาเด็กและเยาวชนให้พร้อมใช้ชีวิตร่วมกับโลกดิจิทัล ไม่สามารถรอได้จนถึงช่วงเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย เพราะเมื่อถึงวัย 15–18 ปี หลายอย่างอาจสายเกินแก้แล้ว
ดร.ไกรยสชี้ว่า การลงทุนกับการศึกษาต้องขยับให้เร็ว และเริ่มตั้งแต่ปฐมวัย เพราะนี่คือช่วงเวลาทองในการปลูกทักษะสำคัญที่จะเป็นรากฐานให้เด็กเติบโต พร้อมรับมือกับโลกที่ไม่หยุดนิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาสัดส่วนประชากรลดลง ทำให้เด็กทุกคนสำคัญ
“เราไม่สามารถปล่อยให้ใครหลุดจากเส้นทางพัฒนาตัวเองได้อีกต่อไป แต่ไม่ใช่แค่ลงทุนเร็วเท่านั้น เราต้องลงทุนอย่างชาญฉลาดโดยใช้ฐานข้อมูลเป็นตัวตั้ง วิเคราะห์ให้ชัดว่า
“ควรลงทุนกับกลุ่มใด ลงทุนด้านไหนที่จะสร้างผลลัพธ์สูงสุด และที่สำคัญต้องรู้ว่าเวลาไหนคือจังหวะที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้งบประมาณที่มีจำกัด ถูกใช้ไปกับการพัฒนาทักษะที่จำเป็น สำคัญ และตรงจุด สร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนต่อทั้งคนรุ่นใหม่และเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว”

ถ้าไม่มี “โอกาส” เด็กจำนวนมากอาจหลุดจากระบบการศึกษา
ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นเรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กจำนวนมากกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะ “หลุดจากระบบ” ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถ แต่เพราะขาดโอกาส
นี่คือเหตุผลที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ทำงานร่วมกับ เครือข่ายภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างทางออกให้กับเด็กและเยาวชนหลากหลายกลุ่ม ผ่านโครงการและทุนการศึกษาหลายรูปแบบที่ออกแบบมาตามความต้องการที่แตกต่างกัน อาทิ
ทุนเสมอภาค สำหรับเด็กและเยาวชนจากครัวเรือนยากจนพิเศษ ครอบคลุมตั้งแต่ ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาภาคบังคับ (ม.3) เพื่อให้พวกเขาได้อยู่ในห้องเรียนอย่างต่อเนื่อง
ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง และ ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ ส่งต่อโอกาสสู่เส้นทางการเรียนรู้สายอาชีพหลังการศึกษาภาคบังคับ ครอบคลุมตั้งแต่ ปวช., ปวส., ปริญญาตรี โท เอก
ทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น ผลิตและพัฒนาครูรุ่นใหม่ แก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่นของตัวผู้เรียนกลับไปบรรจุในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนครู เพื่อปิดช่องว่างของคุณภาพการศึกษาในชนบท
ทุน ODOS (Outstanding Development Opportunity Scholarship) ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ให้สร้างโอกาสสำหรับนักเรียนระดับมัธยมปลายสู่การเรียนต่อมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ สร้างเส้นทางสู่อนาคตที่กว้างกว่าเดิม
ทุนที่ร่วมทำงานกับภาคเอกชน เพื่อช่วยเด็ก ๆ ที่เรียนจบชั้น ม.3 ให้สามารถเรียนต่อ และไม่หลุดจากเส้นทางการศึกษา เช่น ทุนก้าวเพื่อน้อง ทุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น
นอกจากนี้ กสศ. ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม “ส่องทางทุน” ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทุนการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อเป็นแหล่งทุนสำหรับเด็กทุกคนซึ่งกำลังมองหาทางไปต่อเต็มศักยภาพ

ท้ายที่สุดแล้ว การสร้างเส้นทางการเรียนรู้ที่เชื่อมต่อเป็นระบบ อาจไม่เพียงพอ หากขาดอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเอง
นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่าย ทั้งครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ภาครัฐ เอกชน และสังคม ต้องร่วมกันสร้างและส่งต่อ ให้ถึงมือเด็กและเยาวชนทุกคน เพราะแรงบันดาลใจคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้พวกเขา “อยากเรียนรู้” และ “อยากก้าวไปข้างหน้า” ด้วยตัวเอง
ดร.ไกรยสเน้นว่า การสร้างแรงบันดาลใจไม่ใช่เพียงการให้โอกาส แต่คือการสร้างความมั่นคงของเส้นทางชีวิต เมื่อเด็กคนหนึ่งมีหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา เขาจะมี Self-Directed Learning หรือทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่พาเขาก้าวสู่โอกาสใหม่ ๆ พร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลง และมองเห็นการเรียนรู้ในทุกสิ่งรอบตัวได้ตลอดชีวิต
“นี่คือหัวใจของการศึกษาในโลกสมัยใหม่ การสร้างคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z และเจเนอเรชันต่อจากนี้ ให้มีพลังในการขับเคลื่อนชีวิตและสังคม ไม่ใช่แค่เพื่ออยู่รอด แต่เพื่อสร้างอนาคตที่พวกเขาเลือกเองได้”
