แก้ระเบียบเดียว ท้องถิ่นช่วยโรงเรียนรัฐและเด็กในพื้นที่ได้ทันที: บทเรียนจากน้ำท่วมหาดใหญ่ ที่การแก้กฎหมายจะช่วยคนได้หลายล้าน

แก้ระเบียบเดียว ท้องถิ่นช่วยโรงเรียนรัฐและเด็กในพื้นที่ได้ทันที: บทเรียนจากน้ำท่วมหาดใหญ่ ที่การแก้กฎหมายจะช่วยคนได้หลายล้าน

ภายใต้หน้าที่และความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมื่อเกิดอุทกภัย น้ำท่วมโรงเรียน ท้องถิ่นสามารถเข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมหลังคารั่ว แก้ไขอาคารที่พัง เยียวยาความเสียหายให้กับโรงเรียนและนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งหมดนี้ทำได้ทันทีในฐานะ “การช่วยเหลือภัยพิบัติ”

แต่พอน้ำลด สถานการณ์ฉุกเฉินผ่านพ้นไป โรงเรียนเหล่านั้นกลับต้องเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่กว่า นั่นคือ การฟื้นฟูการเรียนการสอนให้กลับมาเป็นปกติ 

เมื่อต้องการงบประมาณเพื่อซื้ออุปกรณ์การสอนทดแทน จัดหาหนังสือเรียนใหม่ จ้างครูเสริมชั่วคราว ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าและน้ำประปาที่เสียหาย – แต่ในจุดนี้ ท้องถิ่นที่เพิ่งช่วยเหลือไปเมื่อไม่กี่วันก่อน กลับไม่สามารถให้การสนับสนุนได้อีกต่อไป

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้

“ที่เป็นอย่างนี้ เพราะการศึกษาอาจไม่ใช่ประเด็นความจำเป็นเร่งด่วนที่อยู่ในระเบียบเกี่ยวกับภาวะวิกฤติฉุกเฉินของท้องถิ่น” เมธชนนท์ ประจวบลาภ ผู้อำนวยการสำนักกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย อธิบายช่องโหว่ของกฎหมายที่ทำให้ท้องถิ่นซึ่งมีเงิน มีความพร้อม มีเจตจำนง กลับไม่สามารถช่วยเหลือโรงเรียนรัฐ สังกัด สพฐ. ในพื้นที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่

นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของโรงเรียนไม่กี่แห่ง แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กนักเรียนหลายล้านคนทั่วประเทศ ในโรงเรียนสพฐ. กว่า 30,000 แห่ง ที่เมื่อต้องการความช่วยเหลือ กลับต้องรอเงินจากกรุงเทพฯ แทนที่จะได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ตัว

ทำไมถึงเป็นแบบนี้  และที่สำคัญ – จะแก้ไขได้อย่างไร

เด็กเหมือนกัน แต่ได้รับการดูแลไม่เท่ากัน

ก่อนจะไปถึงเรื่องช่องโหว่ของกฎหมาย เราต้องเข้าใจก่อนว่าปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อใครบ้าง

ลองนึกภาพเมืองหนึ่งในจังหวัดภาคใต้ ในเขตเทศบาลเดียวกัน มีโรงเรียนสองแห่งอยู่ติดกัน โรงเรียนหนึ่งสังกัดเทศบาล อีกโรงเรียนหนึ่งสังกัด สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน)

เด็กนักเรียนทั้งสองโรงเรียนเติบโตในชุมชนเดียวกัน ครอบครัวพวกเขาเสียภาษีให้กับเทศบาลเดียวกัน เล่นในสนามเดียวกัน ไปตลาดเดียวกัน พ่อแม่ทำงานในย่านเดียวกัน

แต่เมื่อโรงเรียนต้องการความช่วยเหลือ ความแตกต่างกลับปรากฏชัดเจน

โรงเรียนสังกัดเทศบาลได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณท้องถิ่นอย่างเต็มที่ ต้องการซ่อมหลังคา – จัดสรรให้ทันที, ต้องการคอมพิวเตอร์เพิ่ม – อนุมัติได้เลย, หรือต้องการครูเสริม – จ้างได้

ส่วนโรงเรียนสังกัด สพฐ. แม้จะอยู่ในเขตเทศบาลเดียวกัน แม้จะมีเด็กนักเรียนที่มาจากครอบครัวเดียวกันในชุมชน แต่เมื่อต้องการงบประมาณ กลับต้องทำคำของบประมาณส่งไปที่ สพฐ. ในกรุงเทพฯ รอการอนุมัติ รอเงินจัดสรรลงมา บางครั้งใช้เวลาหลายเดือน บางครั้งงบไม่พอ บางครั้งไม่ผ่านการพิจารณา

“นี่คือความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นจริงในระบบการศึกษาไทย” เมธชนนท์บอก “เด็กในพื้นที่เดียวกัน แต่โอกาสไม่เท่ากัน”

กฎหมายบอกว่าท้องถิ่นต้อง “ส่งเสริมการศึกษา” แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สอดคล้อง

สิ่งที่น่าสนใจคือ กฎหมายท้องถิ่นทุกฉบับ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ. เทศบาล พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนตำบล ล้วนมีคำว่า “ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา” อยู่ในอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่นอยู่แล้ว

“ทุกพระราชบัญญัติเขียนเอาไว้ชัดเจน” เมธชนนท์ย้ำ “ท้องถิ่นมีหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา”

แต่ในทางปฏิบัติ ท้องถิ่นตีความแคบว่า การ “ส่งเสริมการศึกษา” หมายถึงการดูแลโรงเรียนในสังกัดตนเองเท่านั้น ไม่ใช่โรงเรียนสพฐ.

ทำไมถึงเป็นแบบนี้

กำแพงชั้นที่หนึ่ง: เมื่อคำว่า “รัฐ” ไม่ได้หมายถึง “ท้องถิ่น”

ปัญหาเริ่มต้นจากการตีความกฎหมาย พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ มาตรา 60 กำหนดให้ “รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษา” ครอบคลุมเรื่องของเงินอุดหนุนรายหัว การลงทุนในสิ่งปลูกสร้าง การจัดหาทรัพยากรทางการศึกษา กองทุนกู้ยืมเงิน และการจัดการศึกษาพิเศษ

“แต่ปัญหาคือ ในทุกข้อย่อยเขียนว่า ‘รัฐ’ หมดเลย” เมธชนนท์อธิบาย “พอระบุนิยามคำว่ารัฐ มันหมายถึงรัฐบาลส่วนกลาง ไม่ได้แปลว่าท้องถิ่น”

ท้องถิ่นจึงตีความว่า การจัดสรรงบประมาณเหล่านี้ไม่ใช่หน้าที่ตน เพราะกฎหมายไม่ได้กระจายอำนาจมาให้อย่างชัดเจน

“ท้องถิ่นจึงกังวลกับการที่จะจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัว การซ่อมบำรุง การสร้างอาคารสถานที่ให้กับโรงเรียนสพฐ.” เขาอธิบาย

แต่แล้วในปี 2551 ก็มีความหวังเกิดขึ้น

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาออกคำวินิจฉัยว่า คำว่า “รัฐ” ครอบคลุมไปจนถึงท้องถิ่นด้วย ท้องถิ่นสามารถจัดสรรงบประมาณ จ้างครู หรือสนับสนุนโรงเรียนสพฐ. ได้

“โดยระเบียบปัจจุบัน ค่อนข้างเปิดกว้างแล้ว” เมธชนนท์บอก “แต่ปัญหาอยู่ตรงไหน”

กำแพงชั้นที่สอง: องค์กรตรวจสอบเงินภาครัฐ คือตัวแปรสำคัญที่สุด

“ขอติชมด้วยความสุจริตเลยนะครับ ปัญหาอยู่ที่ สตง.” เมธชนนท์บอกตรงๆ

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คือหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินภาครัฐทุกหน่วยงาน รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เมื่อ สตง. ไปตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของท้องถิ่น พวกเขามักตั้งคำถามว่า “รายการที่จ่ายให้โรงเรียนสพฐ. ซ้ำซ้อนหรือไม่”

“กำแพงอันแรกเลยที่ผมเห็นได้อย่างชัดเจน คือกำแพงความต่างสังกัดกัน” เมธชนนท์อธิบาย “ท้องถิ่นอยู่กระทรวงมหาดไทย สพฐ. อยู่กระทรวงศึกษาธิการ”

ตามระบบราชการ เมื่อโรงเรียนสพฐ. เกิดความเสียหายหรือต้องการงบประมาณ ต้องทำคำของบประมาณขึ้นไปที่ สพฐ. เพื่อขอรับการจัดสรร เพราะกฎหมายกำหนดให้ รัฐต้องจัดสรรงบประมาณ ตามรายการที่ระบุไว้ในมาตรา 60 อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุนรายหัว กองทุนกู้ยืม สิ่งปลูกสร้าง อาคารสถานที่ ทรัพยากรทางการศึกษา

“เพราะฉะนั้น โดยเนื้อในของกฎหมาย มันมีเจตนาให้เห็นอยู่แล้วว่า รัฐสนับสนุนอยู่แล้ว การที่ท้องถิ่นไปจัดสรรทรัพยากรบางอย่างเพิ่มเติม สตง. ก็จะตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการจ่ายเงินซ้ำซ้อนหรือไม่” เมธชนนท์อธิบาย

ผลที่ตามมาคือ ท้องถิ่นไม่กล้าดำเนินการ กลัวถูก สตง. ท้วงติง กลัวถูกตรวจสอบว่าใช้เงินไม่ถูกต้อง

“สุดท้ายแล้ว ตัวท้องถิ่นเองก็อาจจะไม่ดำเนินการส่งเสริมการศึกษาของโรงเรียน สพฐ. แต่มองว่าเอาเงินก้อนนี้ไปเยียวยาให้กับประชาชนดีกว่า” เมธชนนท์สะท้อนความเป็นจริง

นี่คือกำแพงชั้นที่สอง ซึ่งใหญ่กว่ากำแพงแรกมาก

กำแพงชั้นที่สาม: เมื่อวิกฤตมา กฎหมายยิ่งตึงกว่าเดิม

ถ้าในสภาวะปกติท้องถิ่นยังช่วยโรงเรียนสพฐ. ไม่ได้เต็มที่ สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นในยามวิกฤต

เมื่อน้ำท่วมหาดใหญ่ โรงเรียนหลายแห่งได้รับความเสียหาย อาคารเรียนชำรุด อุปกรณ์การเรียนการสอนพัง หนังสือเปียกน้ำ คอมพิวเตอร์เสียหาย

ท้องถิ่นมีเงิน มีความพร้อม อยากจะช่วย แต่กลับทำไม่ได้

ทำไม

“เพราะการใช้จ่ายงบประมาณของท้องถิ่น ต้องมีแผนการใช้เงินที่ผ่านสภาท้องถิ่นแล้ว” เมธชนนท์อธิบาย

ท้องถิ่นทุกแห่งต้องมี แผนพัฒนาท้องถิ่น และ งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่ผ่านการพิจารณาจากสภาท้องถิ่น ซึ่งเปรียบได้กับรัฐสภาในระดับชาติ ก่อนที่จะสามารถใช้เงินได้

“คำถามคือ พอเกิดสถานการณ์น้ำท่วม การจัดสรรเงินอุดหนุนหรือซ่อมบำรุงอาคารสถานที่ หรือช่วยเหลือโรงเรียนสพฐ. มันไม่ได้อยู่ในแผนตั้งแต่แรก” เมธชนนท์อธิบาย “เพราะฉะนั้น มันจะเกิดความล่าช้า ทำไม่ได้ เพราะมันไม่ได้อยู่ในแผน”

แต่มีคนอาจจะถามว่า แล้วถ้านายกประกาศสภาวะวิกฤตฉุกเฉินล่ะ จะใช้เงินได้หรือไม่

“ได้ แต่การดำเนินงานของท้องถิ่น การจ่ายเงินในยามฉุกเฉิน ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความฉุกเฉิน” เขาอธิบายต่อ “เช่น เยียวยาหลังคารั่ว บ้านพัง รั้วพัง ซึ่งเป็นเรื่องของภัยพิบัติต่อประชาชนโดยตรง แต่การศึกษาอาจไม่ใช่ประเด็นเร่งด่วนที่อยู่ในระเบียบเกี่ยวกับภาวะวิกฤตฉุกเฉิน”

ฟังดูแปลกใช่ไหม โรงเรียนได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเหมือนกัน แต่ท้องถิ่นช่วยเหลือได้เฉพาะในฐานะ “ภัยพิบัติ” เท่านั้น เช่น ซ่อมหลังคารั่ว ซ่อมอาคารชำรุด

แต่เมื่อน้ำลดแล้ว โรงเรียนต้องการงบประมาณเพื่อซื้ออุปกรณ์การสอนใหม่ จ้างครูเสริมเพราะครูบางคนเจ็บป่วยจากการทำงานในวิกฤต หรือจัดหาหนังสือเรียนทดแทน – สิ่งเหล่านี้ท้องถิ่นกลับช่วยไม่ได้

“เพราะฉะนั้น ท้องถิ่นไม่สามารถที่จะโยกเงินไปใช้จ่ายให้กับโรงเรียนได้เลยในสถานการณ์แบบนี้” เมธชนนท์สรุป

โรงเรียนเล็ก โรงเรียนห่างไกล ปัญหายิ่งหนักกว่า

ปัญหาที่กล่าวมา ส่งผลกระทบต่อโรงเรียนสพฐ. ทุกแห่ง แต่โรงเรียนในบางพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักกว่า นั่นคือ โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนห่างไกล และโรงเรียนในพื้นที่ขาดแคลน

เมธชนนท์ยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่เชียงราย มีโรงเรียนแห่งหนึ่งได้รับความเสียหาย องค์กรปกครองท้องถิ่นในจังหวัดเชียงรายไม่สามารถช่วยเหลือได้ เพราะกฎหมายไม่อนุญาต

“สุดท้ายต้องอาศัยเงินบริจาคจากประชาชนทั่วประเทศ” เขาเล่า “ซึ่งนี่มันไม่ยั่งยืน ไม่เป็นระบบ”

สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก ปัญหายิ่งทวีคูณ

โรงเรียนทั่วไปที่มีนักเรียนหลายร้อยคน อาจมีครู 30-40 คน มีงบประมาณเพียงพอที่จะจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการ นักการภารโรง แม่ครัว เจ้าหน้าที่ห้องสมุด พนักงานขับรถ มีระบบสนับสนุนที่ค่อนข้างครบถ้วน

แต่โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนแค่ 50-100 คน อาจมีครูเพียง 5-7 คน

“ปัญหาคืองานที่ต้องทำมันเท่ากัน” เมธชนนท์ชี้ให้เห็น “ทุกโรงเรียนต้องทำงานครบ 100 งาน ไม่ว่าจะเป็นงานธุรการ งานวิชาการ งานบุคลากร งานงบประมาณ งานกิจการนักเรียน งานอาคารสถานที่”

“โรงเรียนใหญ่ที่มีครู 30 คน กับโรงเรียนเล็กที่มีครู 5 คน ต่างทำงาน 100 งานเหมือนกัน แต่โรงเรียนใหญ่แบ่งกันทำคนละ 3-4 งาน ส่วนโรงเรียนเล็กแบ่งกันทำคนละ 20 งาน”

เมื่อเกิดวิกฤต เช่น น้ำท่วม ครูในโรงเรียนเล็กต้องรับภาระมากกว่า ต้องทำงานช่วยเหลือนักเรียน ซ่อมแซมโรงเรียน ทำเอกสารคำของบประมาณ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งหมดนี้ด้วยกำลังคนเพียงไม่กี่คน

“เพราะงั้น โดยระเบียบ พวกเขาติดข้อจำกัดเหมือนกันหมด แต่ปัญหาที่เขามีอยู่มันค่อนข้างจะหนักกว่า” เมธชนนท์สรุป “ภาระเดียวกันกับโรงเรียนขนาดใหญ่ แต่ทำด้วยคนน้อยกว่ามาก”

และเมื่อท้องถิ่นไม่สามารถเข้ามาช่วยได้อย่างทันท่วงที ปัญหาที่หนักอยู่แล้วก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก

ทางออกที่ชัดเจน: แก้ได้ง่ายกว่าที่คิด

หลังจากที่เมธชนนท์วิเคราะห์ปัญหาอย่างละเอียด เขาเสนอทางออกที่ชัดเจนสองทาง ซึ่งหากดำเนินการได้ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กนักเรียนและครูหลายแสนคนทั่วประเทศ

ทางที่หนึ่ง: แก้ระเบียบกระทรวงมหาดไทย

“แก้ระเบียบเลยครับ” เมธชนนท์บอกตรงๆ

ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการใช้จ่ายเงินของท้องถิ่น ต้องแก้ไขให้ชัดเจนว่า ท้องถิ่นสามารถสนับสนุนโรงเรียนสพฐ. ในพื้นที่ได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินซ้ำซ้อน

แค่นี้ กำแพงชั้นที่สองที่มาจาก สตง. ก็จะหมดไป ท้องถิ่นจะกล้าใช้จ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนในพื้นที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งระเบียบนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทำได้เลย

ทางที่สอง: เปิดประชุมสภาท้องถิ่นวิสามัญ

แต่ถ้าระเบียบกระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้แก้ ท้องถิ่นจะทำอะไรได้บ้างเมื่อเกิดวิกฤต

“ถ้าผมเป็นนายกเทศมนตรี หรือเป็นนายก อบจ. ผมจะเรียกขอเปิดประชุมสภา” เมธชนนท์เสนอทางออกที่ปฏิบัติได้ทันที

สภาท้องถิ่นสามารถประชุมได้สองรูปแบบ คือ สมัยสามัญ (ประชุมตามปกติ) และ สมัยวิสามัญ (สมัยพิเศษ เมื่อมีเหตุการณ์เร่งด่วน)

“ผมจะขอเปิดประชุมสภา ปรับปรุงแก้ไข เสนอญัตติปรับปรุงแก้ไขแผนการใช้เงินและหมวดงบประมาณในการสนับสนุนการซ่อมบำรุงการศึกษา แล้วขอให้สภาผ่านร่างการใช้จ่ายงบประมาณนี้ทันที”

เมธชนนท์เชื่อว่า ไม่มีสมาชิกสภาท้องถิ่น (สท.) คนไหนกล้าค้าน

“คำถามคือ ไม่มี สท. คนไหนกล้ามายกมือค้าน เพราะอะไร เพราะว่าถ้าค้าน ปีหน้าประชาชนไม่เลือกคุณเข้าสภาแน่นอน ใครจะค้านเรื่องช่วยเหลือโรงเรียนเด็กๆ ในพื้นที่ตัวเอง”

“พอมีการแก้แผนและคำของบประมาณ จะทำให้ท้องถิ่นสามารถใช้เงินได้ทันที” เขาสรุป

นี่คือทางออกที่สามารถทำได้เลยในระดับท้องถิ่น โดยไม่ต้องรอให้ส่วนกลางแก้กฎหมาย

ไม่ใช่การโยนภาระ แต่เป็นหน้าที่ที่มีอยู่แล้ว

หลายคนอาจมองว่า การให้ท้องถิ่นเข้ามาช่วยโรงเรียนสพฐ. มากขึ้นคือการ “โยนภาระ” จากส่วนกลางลงมาให้ท้องถิ่น

แต่เมธชนนท์ไม่เห็นด้วยกับมุมมองนี้เลย

“จริงๆ แล้ว มันเป็นภาระหน้าที่ของท้องถิ่นอยู่แล้ว” เขายืนยัน

เขาอ้างอิง พ.ร.บ. กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ซึ่งกำหนดให้ท้องถิ่นรับผิดชอบการศึกษาระดับปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว

“คำว่า ‘ส่งเสริมการศึกษา’ ไม่ใช่แค่การสนับสนุนโรงเรียนในสังกัดตนเอง แต่หมายรวมถึงโรงเรียนสังกัดอื่นในพื้นที่ด้วย” เขาอธิบาย “เช่น โรงเรียนสาธิตสังกัดกระทรวงอุดมศึกษา โรงเรียนกีฬาสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือโรงเรียนสพฐ.”

และในความเป็นจริง หลายท้องถิ่นที่ไม่มีโรงเรียนเป็นของตัวเอง ก็สนับสนุนโรงเรียนสพฐ. อยู่แล้ว

“แสดงว่าเจตนาของเขาคือ เขามองว่ามันเป็นภาระหน้าที่ของเขา ไม่ใช่ภาระที่จะเพิ่มขึ้นมา และยินดีไปกว่าซ้ำอีก” เมธชนนท์บอก

ในมุมการเมืองท้องถิ่น การช่วยเหลือโรงเรียนยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แสดงความรับผิดชอบต่อชุมชน

“ถ้าเรามองในมุมการเมือง เทศบาลท้องถิ่นช่วยฟื้นฟูโรงเรียนสพฐ. ในมุมของเขาเอง เขาก็แสดงว่ารับผิดชอบต่อชุมชน”

มากกว่านั้น ท้องถิ่นกับโรงเรียนเป็นระบบนิเวศที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

“ท้องถิ่นจะทำบริการสาธารณะดีเท่าไหร่ก็ตาม แต่ถ้าการศึกษาในชุมชนไม่ได้สอนให้เด็กเป็นพลเมืองดี ไม่ได้สอนเรื่องป้องกันยาเสพติด ปล่อยให้เด็กติดยาเต็มบ้านเต็มเมือง” เมธชนนท์ยกตัวอย่าง

“สุดท้ายต่อให้ท้องถิ่นนั้นจะมีระบบบริการสาธารณสุขหรือมีตำรวจมือดีแค่ไหน แต่ผู้ป่วยและโจรผู้ร้ายก็จะเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่ดี”

“เพราะงั้น ผมถึงบอกว่า มันเป็นหน้าที่ที่ท้องถิ่นต้องทำอยู่แล้ว เพราะการส่งเสริมการศึกษาในพื้นที่ เป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ภาระที่เพิ่มขึ้นมา”

การกระจายอำนาจที่แท้จริง: ใช้อำนาจร่วมกัน ไม่ใช่แค่กระจาย

เมธชนนท์มีข้อเสนอที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างการสนับสนุนการศึกษาในอนาคต

“ผมเห็นด้วยกับหลักการกระจายอำนาจ แต่เรื่องของการศึกษา ผมว่ามันไม่ใช่แค่คำว่า ‘กระจาย’ มันควรจะต้องเป็น การใช้อำนาจร่วมกัน ในการจัดบริการสาธารณะ”

เขาอธิบายว่า ไม่ควรเป็นแบบที่รัฐบาลส่วนกลางมอบอำนาจให้ท้องถิ่น แล้วถอยออกมา แต่ควรเป็นการที่ รัฐบาลส่วนกลางและท้องถิ่นมีอำนาจเท่าเทียมกันในการจัดการศึกษา แล้วร่วมกันทำ

“รัฐบาลส่วนกลางมียังไง ขอให้ท้องถิ่นมีแบบนั้น แล้วร่วมกันทำการศึกษา” เขาเสนอ “ผมคิดว่าอันนี้จะได้แก้ปัญหาแต่ละท้องถิ่นที่มีวัฒนธรรมและความแตกต่างกัน”

“ถ้าท้องถิ่น มีอำนาจเหมือนกับกระทรวงศึกษาธิการส่วนกลาง ผมคิดว่าเขาก็จะบริหารจัดการสถานศึกษาในพื้นที่ได้ดีขึ้น เพราะงั้น ผมยังยืนยันคำเดิมอยู่ว่า ท้องถิ่นต้องมีอำนาจในการจัดการศึกษาเต็มที่ ไม่ใช่การกระจาย แต่ต้องเป็น อำนาจร่วม ของรัฐบาลกลาง”

ข้อเสนอระยะยาว: ปฏิรูประบบการเงินการศึกษาให้ยืดหยุ่นจริง

นอกจากการแก้ระเบียบกระทรวงมหาดไทยและการเปิดประชุมสภาท้องถิ่นวิสามัญแล้ว เมธชนนท์ยังมีข้อเสนอที่รากลึกกว่านั้น นั่นคือ การปฏิรูประบบการเงินของภาคการศึกษาทั้งหมด

“ระบบการศึกษาไทย เราสามารถมีระเบียบงบประมาณเป็นของตัวเองได้ไหม ไม่ใช้แบบกรมบัญชีกลาง” เขาตั้งคำถามที่หลายคนอาจไม่เคยคิด “ถ้าเกิดไปใช้แบบกรมบัญชีกลาง มันจะมีความล่าช้า มีระเบียบต่างๆ ที่ไม่เหมาะกับการศึกษา”

เหตุผลที่เขาเสนอแบบนี้ เพราะเห็นว่า การศึกษาเป็น dynamic เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทั้งทางบวกและทางลบ

“การศึกษามันเปลี่ยนแปลงทั้งทางบวกทางลบ อย่างทางลบ คือภัยพิบัติ มันเปลี่ยนแปลงไวมากเลย แต่มันไปใช้ระบบงบประมาณปกติ มันไม่ทัน”

เมธชนนท์เสนอว่า เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการมี พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาเป็นของตัวเอง ไม่ได้ใช้แบบกระทรวงทบวงกรมอื่น ทำไมจึงไม่มีระเบียบการเงินเป็นของตัวเองด้วย

“ไหนๆ เราก็มี พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาเป็นของตัวเอง ถ้าอย่างนั้น เรามีระเบียบการเงินเป็นของตัวเองได้ไหม มีวิธีปฏิบัติราชการเป็นของตัวเองได้ไหม” เขาถาม 

“เพื่อจะทำให้การศึกษามันยืดหยุ่นมากขึ้น การใช้งบประมาณมันยืดหยุ่นมากขึ้น”

นี่คือข้อเสนอที่อาจฟังดูเป็นการปฏิวัติระบบ แต่หากมองให้ลึก มันสมเหตุสมผล เพราะการศึกษาไม่ใช่ภารกิจที่สามารถใช้ระเบียบแบบเดียวกับการจัดซื้อจัดจ้างทั่วไปได้

เมื่อน้ำท่วม โรงเรียนต้องการงบประมาณทันที ไม่ใช่สามเดือนถึงหกเดือนต่อมา เมื่อมีนวัตกรรมการศึกษาใหม่ โรงเรียนต้องการความยืดหยุ่นในการจัดสรรงบประมาณเพื่อทดลองใช้ ไม่ใช่รอจนปีงบประมาณถัดไป
ระบบการเงินที่ยืดหยุ่น รวดเร็ว และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที อาจเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกให้การศึกษาไทยพัฒนาได้อย่างแท้จริง

ถ้าแก้กฎหมายเพียงจุดเดียว ชีวิตจะเปลี่ยน

กลับมาที่คำถามตั้งต้น ถ้าแก้กฎหมายเพียงจุดเดียว ในสถานการณ์เร่งด่วนที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น โรงเรียนจะได้รับความช่วยเหลือเร็วขึ้นมากจริงหรือ

เมธชนนท์ตอบชัดเจนว่า ใช่

หนึ่ง แก้ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ทำได้เลย ทันที”
สอง สท. หรือนายก ขอเปิดประชุมสภาวิสามัญ แก้แผน แก้ปุ๊บ ใช้เงินได้ทันที”

ลองนึกภาพว่า หากมีการแก้ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ให้ท้องถิ่นสามารถสนับสนุนโรงเรียนสพฐ. ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินซ้ำซ้อน

เมื่อน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งต่อไป เทศบาลหาดใหญ่จะสามารถ:

– จัดสรรงบประมาณซ่อมแซมโรงเรียนได้ทันที ทั้งในฐานะภัยพิบัติและการศึกษา
– สนับสนุนงบประมาณซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนทดแทนของเสียหาย
– จ้างครูเสริมชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ
– จัดหาหนังสือเรียนและสื่อการเรียนรู้ใหม่
– สนับสนุนโภชนาการเด็กที่ครอบครัวได้รับความเสียหาย

ทั้งหมดนี้ ทำได้ทันที ไม่ต้องรอเงินจากกรุงเทพฯ ไม่ต้องรอหลายเดือน

หรือในกรณีของโรงเรียนเล็กในพื้นที่ห่างไกล เมื่อโรงเรียนต้องการงบประมาณซ่อมหลังคารั่ว หรือซื้อคอมพิวเตอร์เพิ่ม หรือจ้างครูเสริม อบต. หรือเทศบาลในพื้นที่จะสามารถอนุมัติและจัดสรรงบประมาณได้เลย ภายในสัปดาห์เดียว ไม่ต้องรอคำของบประมาณผ่านกรุงเทพฯ ที่อาจใช้เวลาหลายเดือน

นี่คือความแตกต่างระหว่าง “ช่วยได้ทันที” กับ “ช่วยได้แต่ช้า”

และเมื่อคูณด้วยจำนวนโรงเรียนสพฐ. ทั่วประเทศที่มีเกือบ 30,000 แห่ง จำนวนนักเรียนหลายล้านคน การแก้กฎหมายเพียงจุดเดียว จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้หลายล้านคน

บทเรียนจากน้ำท่วม: ถึงเวลาต้องเปลี่ยน

น้ำท่วมหาดใหญ่เปิดเผยให้เห็นช่องโหว่ในระบบที่มีมานาน ท้องถิ่นมีงบประมาณ มีความพร้อม มีเจตจำนงที่จะช่วยเหลือโรงเรียนในพื้นที่ แต่ถูกขวางกั้นด้วยกฎหมายและระเบียบที่ไม่ชัดเจน

เด็กกลุ่มเดียวกัน เติบโตในชุมชนเดียวกัน ครอบครัวเสียภาษีเดียวกัน แต่ได้รับการดูแลไม่เท่ากันเพียงเพราะ “โรงเรียนต่างสังกัด”

การศึกษาไม่ควรมีกำแพงระหว่างสังกัด ไม่ควรมีความแตกต่างระหว่างเด็กที่เรียนโรงเรียนท้องถิ่น กับเด็กที่เรียนโรงเรียนสพฐ.

การแก้ไขไม่ได้ยากอย่างที่คิด และเริ่มทำได้เลย ไม่ว่าจะเป็น

แก้ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ให้ท้องถิ่นช่วยโรงเรียนสพฐ. ได้อย่างชัดเจน
เปิดประชุมสภาท้องถิ่นวิสามัญ เมื่อเกิดเหตุการณ์เร่งด่วน แก้แผนการใช้เงินได้ทันที

แค่สองทางนี้ ก็สามารถปลดล็อกให้เด็กนักเรียนหลายล้านคนทั่วประเทศได้รับการดูแลที่ดีขึ้น ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกัน

นี่ไม่ใช่การโยนภาระให้ท้องถิ่น แต่เป็นการคืนอำนาจให้ท้องถิ่นได้ทำหน้าที่ที่มีอยู่แล้วตามกฎหมาย เป็นการกระจายอำนาจที่แท้จริง เป็นการสร้างระบบนิเวศการศึกษาที่ท้องถิ่นและโรงเรียนเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

คำถามสุดท้ายคือ เราพร้อมจะทำหรือยัง

เด็กๆ กำลังรอ โรงเรียนกำลังรอ ครูกำลังรอ ชุมชนกำลังรอ

และวิกฤตครั้งต่อไป ไม่รอใคร


บทความนี้เขียนจากการสัมภาษณ์เมธชนนท์ ประจวบลาภ ผู้อำนวยการสำนักกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย