ตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2568 หลายจังหวัดภาคกลางเผชิญน้ำท่วมสูงต่อเนื่อง โรงเรียนจำนวนมากต้องเร่งสอบปลายภาคและปิดเทอมก่อนกำหนด แม้น้ำจะลดลงช่วงปลายตุลาคมและทุกฝ่ายหวังว่าจะเปิดเทอมสองได้ตามแผน แต่เพียงสองวันหลังเปิดเรียน มวลน้ำชุดใหม่ที่รุนแรงกว่าครั้งก่อนกลับไหลทะลักเข้าพื้นที่อีกครั้ง ท่วมขังยาวจนถึงปัจจุบัน
ความหวังที่จะเปิดเรียนจึงต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด
ท่ามกลางสถานการณ์ที่หลายอย่างหยุดชะงัก สิ่งหนึ่งคุณครูยังเดินหน้าต่อ คือ “การเรียนรู้ของเด็ก ๆ”


กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจาก กสศ. เชิญสถานศึกษาในพื้นที่ประสบอุทกภัยเข้าใช้แพลตฟอร์ม Mobile School เพื่อให้การเรียนรู้ยังต่อเนื่อง ทีมงานได้ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หนึ่งในจุดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “ไปเยี่ยมเยียน” แต่เพื่อฟังเสียงที่อยู่ใต้ผิวน้ำ และร่วมกับโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อน้อง มูลนิธิกระจกเงา นำเครื่องมือที่จำเป็นอย่างคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ และซิมอินเทอร์เน็ตพร้อมเรียน ไปส่งถึงมือเด็ก ๆ ให้สามารถเข้าใช้ Mobile School และเพื่อให้โรงเรียนและคุณครูยังคงพาการเรียนรู้ของเด็กไปต่อได้ แม้โรงเรียนจะยังไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ
“Mobile School” แพลตฟอร์มการเรียนรู้ในภาวะวิกฤตที่ไม่ปล่อยให้เด็กหลุดจากระบบ

อิษฏ์ ปักกันต์ธร ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาการเรียนรู้เชิงพื้นที่ กสศ. เล่าว่า การลงพื้นที่ทำให้ได้เห็น “ความจริงที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำ” ตั้งแต่ปัญหาที่เด็กและครอบครัวต้องเผชิญในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปหมด ความเป็นอยู่ที่ยากขึ้น หรือข้อจำกัดของครอบครัวที่แตกต่างกันในเด็กแต่ละคน ทั้งหมดนี้กลายเป็นอุปสรรคเงียบ ๆ ของการเรียนรู้ ที่ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนจะหาวิธีช่วย
“สิ่งที่เราได้รับจากพื้นที่คือเสียงของครู เสียงของเด็ก และเสียงของผู้ปกครอง ที่สะท้อนว่าสถานการณ์นี้กระทบชีวิตประจำวันของพวกเขาอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการเรียนรู้ เพราะเมื่อโรงเรียนต้องปิด ไม่ใช่แค่การเรียนเท่านั้นที่หยุด แต่คือ ‘สภาพปกติของเด็กทั้งชีวิต’ ที่เปลี่ยนไปหมด ตั้งแต่การกินอยู่ การไปโรงเรียน การเล่น ตลอดจนกิจวัตรภายในครอบครัว ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลกระทบต่อสภาวะจิตใจของเด็กด้วย”

ผอ.อิษฏ์บอกว่า การออกแบบการเรียนรู้ในวันที่พื้นที่เต็มไปด้วยน้ำสูง ไม่อาจมองเด็กเป็น “ผู้เรียน” เพียงอย่างเดียวได้ แต่ต้องมองทั้งนิเวศรอบตัว โรงเรียนที่เปิดไม่ได้ ครูที่ไปโรงเรียนไม่ได้ ผู้ปกครองที่ทำงานไม่ได้ และความแตกต่างของระดับผลกระทบที่เด็กแต่ละคนต้องแบกรับไม่เท่ากัน และอุทกภัยครั้งนี้ ยังเผยให้เห็น “ช่องว่างความเหลื่อมล้ำ” ที่ชัดเจน
“เด็กที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือเด็กจากครัวเรือนรายได้น้อย เพราะเมื่อบ้านถูกล้อมด้วยน้ำ เขาไม่มีทางเลือกอะไรเลย จะย้ายไปไหนก็ไม่ได้ ไม่มีเครื่องมือสื่อสาร แม้แต่โอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารพื้นฐานยังเป็นเรื่องยาก การจะเรียนรู้ในสถานการณ์เช่นนี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ทีมงาน กสศ. พบว่า หลายครอบครัวมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว เด็กต้องรอให้ผู้ปกครองกลับมาถึงบ้านจึงจะได้ใช้ บางบ้านไม่มีเครื่องมือใด ๆ เลยตลอดหลายเดือนที่โรงเรียนปิด สถานการณ์เช่นนี้นำมาซึ่งความเครียด ความรู้สึกโดดเดี่ยว และช่วงเวลาที่สูญเปล่าโดยไม่จำเป็น
“นี่คือเหตุผลที่ต้องรีบนำเครื่องมือและแพลตฟอร์มเข้าไปเติมเต็มช่องว่างให้เร็วที่สุด ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมา เราเห็นว่าดิจิทัลแพลตฟอร์มที่มีอยู่อย่าง ‘โรงเรียนมือถือ’ จะเข้ามาช่วยเยียวยาจิตใจเด็ก และ ‘เชื่อมรอยต่อการเรียนรู้’ ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ พร้อมทั้งให้เราติดตามผลเพื่อนำไปปรับการทำงานต่อไป”


ผอ.อิษฏ์บอกว่า อุปกรณ์และวิธีการเรียนรู้ที่ส่งมอบให้เด็กในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าสิ่งของ แต่มันคือ “จุดเริ่มต้น” ของการหาคำตอบที่ทุกคนกำลังเผชิญร่วมกันว่า “ในวิกฤตที่โรงเรียนเปิดไม่ได้ เราจะปิดช่องว่างการเรียนรู้ได้อย่างไร?”
“เรานำอุปกรณ์ที่พร้อมเชื่อมต่อแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์มาให้เด็ก ๆ ใช้โดยคาดหวังว่าจะเป็นก้าวแรกของการออกแบบ ‘ระบบเรียนรู้ฉุกเฉิน’ จากสภาพพื้นที่จริง เพื่อให้ต่อจากนี้ เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยร่นระยะห่างระหว่างเด็กกับครู เด็กกับบทเรียน และเด็กกับข้อมูลข่าวสาร ลดความเหลื่อมล้ำลงในวันที่โรงเรียนยังไม่สามารถกลับมาเปิดได้”
กสศ. จึงอยากชวนฟังเสียงจากพื้นที่ต่อ ทั้งเสียงของครู เสียงของเด็ก และเสียงของโรงเรียนเล็ก ๆ ที่เพิ่งได้รับอุปกรณ์ชุดแรกไปในช่วงน้ำท่วม เสียงที่สะท้อนว่าโรงเรียนมือถือ Mobile School จะช่วยพาการเรียนรู้ของเด็ก ๆ เดินต่อไปได้อย่างไร ท่ามกลางสายน้ำที่ยังไม่รู้ว่าจะลดลงเมื่อไหร่
ฟังเสียงจากครูในวันที่น้ำท่วมโรงเรียนปิด

การสื่อสารระหว่างครูกับเด็ก ช่วยพาบทเรียนไปข้างหน้า ลดการเรียนรู้ถดถอย
ครูชิณวัตร พละชัยโรงเรียนวัดเชิงท่า อำเภอบางปะอิน
โรงเรียนของครูชิณวัตรปิดยาวเกือบสามเดือนแล้ว ระหว่างนี้ทำได้เพียงแจกใบงานบทเรียนเทอมก่อนให้เด็กทบทวน สิ่งที่ครูห่วงเด็ก ๆ ที่สุดเวลานี้คือภาวะ “Learning Loss” หรือการเรียนรู้ถดถอย ที่ค่อย ๆ กัดกินความต่อเนื่องของการเรียนรู้
“เราทำได้เพียงให้ใบงานที่เป็นบทเรียนเก่า เพื่ออย่างน้อยให้เด็กไม่ห่างจากการเรียนไปมากกว่านี้ สิ่งที่กังวลเป็นเรื่องการเรียนรู้ถดถอย เพราะในสถานการณ์น้ำท่วม เราไม่ได้สื่อสารกับเด็กเลย การจะพาไปสู่บทเรียนใหม่ ๆ ทำได้ยาก บางวิชาที่ต้องเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติเช่นวิทยาศาสตร์ทำไม่ได้เลย เมื่อเด็กอยู่บ้านโดยไม่มีเครื่องมือช่วย เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้ ใจที่อยากจะเรียนรู้มันก็ยิ่งฝ่อลง”

วันนี้เมื่อโรงเรียนได้รับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก สมาร์ตโฟน และซิมอินเทอร์เน็ตสำหรับเรียนฟรีให้เด็กใช้งาน ครูชิณวัตรเห็นความเปลี่ยนแปลงทันที
“เราทำวิดีโอการสอนบทเรียนใหม่ให้นักเรียนทุกคนดูได้ เมื่อทุกคนมีเครื่องมือ เด็กสื่อสารกับครูได้ตัวต่อตัวแบบเรียลไทม์ ติดขัดถามได้ทันที ตรงนี้ก็ช่วยทั้งเรื่องการสืบค้นข้อมูล และยังเป็นกำลังใจให้เด็กด้วยว่ามีครูอยู่กับเขา”
เปิดประสบการณ์เรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่มีครูพร้อมวิดีโอคอลตลอดเวลา
ครูวสุธร นากรณ์โรงเรียนวัดท่าดินแดง อำเภอผักไห่

โรงเรียนของครูวสุธรไม่ได้ถูกน้ำท่วม แต่ “บ้านของเด็กท่วม 100%” จนต้องหยุดเรียนทั้งหมด ครูต้องพายเรือไปมอบแบบฝึกหัดและสำรวจความเป็นอยู่ของนักเรียนทุกสัปดาห์
“นักเรียนมีไม่ถึงห้าสิบคน แต่บางชุมชนน้ำท่วมสูงและเชี่ยวมาก ทำให้เข้าถึงบ้านเด็กไม่ได้ บางคนก็ไม่มีเครื่องมือสื่อสาร ไม่มีอินเทอร์เน็ต เราก็พยายามใช้วิธีจัดกลุ่มให้ผู้ปกครองที่อยู่บ้านใกล้กันช่วยกันดูแล ต้องยอมรับว่าการเรียนออนแฮนด์อย่างเดียว เด็กบางส่วนทำไม่ได้ เพราะไม่มีผู้ปกครองช่วย ยิ่งวิชาเนื้อหายาก ๆ ถ้าไม่มีครูเขาจะเรียนไม่ได้เลย”

เมื่อได้อุปกรณ์และอินเทอร์เน็ตครบทุกคน ครูวสุธรจึงเริ่ม “ดึงการเรียนรู้กลับมา”
“อย่างน้อยที่สุดช่วงเวลานี้ เราจะติดต่อเด็กได้ทุกคน ติดตามความเป็นอยู่ได้ ชวนกันทบทวนบทเรียนเก่า แล้วยังพอจะเริ่มบทเรียนใหม่ ๆ ได้ด้วย และแม้การเรียนทางไกลอาจให้ผลลัพธ์ได้ไม่ดีเท่าเจอกันตรงหน้า โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ แต่สิ่งที่ทำนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ใหม่ ที่เด็กจะได้มีประสบการณ์เรียนรู้ด้วยตัวเอง มีช่องทางเข้าถึงความรู้กันได้ทุกคน แล้วส่วนที่ต้องการตัวช่วยก็วิดีโอคอลกับครูได้ตลอดเวลา แค่นี้เราก็เชื่อว่าทั้งการเรียนรู้และสภาพจิตใจของเด็กดีขึ้นแน่นอนค่ะ”
จำลองบรรยากาศห้องเรียนผ่านออนไลน์ เติมทักษะสังคมไม่ให้หดหาย
ครูวาสนา ลิ้มสุวรรณโรงเรียนประชากรรังสฤษฏ์ อำเภอบางบาล

เด็กในโรงเรียนของครูวาสนาส่วนใหญ่เป็นเด็กจากครอบครัวรายได้น้อย หลายคนไม่เคยจับอุปกรณ์สื่อสารมาก่อน การเรียนรู้ของพวกเขาผูกพันกับ “ครูและเพื่อน” เป็นหลัก เมื่อโรงเรียนปิด สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ขาดบทเรียน แต่คือ “การขาดปฏิสัมพันธ์”
“เด็กโรงเรียนเราคุ้นเคยกับการเจอครูเจอเพื่อน เขาถึงจะมีสมาธิเรียนได้ดี แต่พอน้ำท่วมก็ต้องยอมรับสถานการณ์ และพยายามหาวิธีทำให้การเรียนรู้ยังไปต่อได้ สิ่งหนึ่งคือการเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เด็ก ๆ ทั้งหมดมาจากครอบครัวรายได้น้อยในพื้นที่รอบโรงเรียน เขาจะไม่คุ้นกับการใช้เครื่องมือสื่อสาร บางคนไม่เคยจับเลยก็มี แต่เราเชื่อว่าถ้าเด็กได้มีเป็นของตัวเอง ได้เริ่มใช้ ไม่นานเขาจะทำได้”

หลังจากได้รับอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต โรงเรียนเตรียมทดลองจัดห้องเรียนออนไลน์แบบกลุ่ม
“การได้เครื่องมือมาช่วย อย่างแรกเราติดตามเด็กง่ายขึ้น ติดต่อเด็กได้ทุกคน ส่วนหลังจากนี้จะลองออกแบบบทเรียนแบบกลุ่มทางออนไลน์ พยายามสร้างบรรยากาศให้เหมือนห้องเรียน เพื่ออย่างน้อยเด็กจะได้เห็นเพื่อน ๆ ได้ใช้ทักษะสังคมบ้าง เพราะตั้งแต่หยุดเรียนไป เด็กบางคนบอกว่าเหงามาก วันหนึ่ง ๆ แทบไม่ได้คุยกับใครเลย
“อีกอย่างเรามองว่าตรงนี้จะเป็นโอกาสของเด็กด้วย ที่ทุกคนจะได้มีเครื่องมือสื่อสาร ได้ยกระดับการเรียนรู้ผ่านโลกออนไลน์ เด็กหลายคนก็บอกว่าตื่นเต้นที่จะได้ลองเสิร์ชหาสิ่งที่ตัวเองสนใจ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่บางคนเพิ่งได้สัมผัส แล้วเราเชื่อว่ามันจะช่วยเปลี่ยนทักษะการเรียนด้วยตัวเองของเขาในระยะยาว”
เสียงจากเด็ก: ความหวังเล็ก ๆ ที่กลับมาพร้อมอินเทอร์เน็ต
“จะใช้ซิมอินเทอร์เน็ตดูแนวข้อสอบเข้า ม.1 ครับ”
น้องตัง นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนวัดน้ำเต้า (อุดมราษฎร์นิมิต) อำเภอบางบาล

หน้าบ้านของน้องตังยังคงเต็มไปด้วยน้ำลึกมิดหัว เด็กชายวัย 12 ปีต้องติดอยู่ในบ้านเกือบสามเดือน รู้สึกเหมือนถูกขังอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้คุยกับเพื่อน แม้แต่การเดินออกไปนอกบ้านก็ทำไม่ได้
“อยากไปโรงเรียนครับ แต่หน้าบ้านน้ำลึกมิดหัวเลย บางวันอยู่บ้านมองน้ำ รู้สึกเหมือนติดเกาะ ถูกน้ำขังไว้ ยิ่งไม่ได้คุยกับใคร ไปไหนไม่ได้ ก็มีเครียดบ้างครับ”
น้องตังบอกว่า สิ่งที่เขากังวลที่สุดไม่ใช่แค่การไม่ได้เจอเพื่อน แต่คือการสอบเข้า ม.1 ในปีหน้า
“กลัวว่าจะไม่ทันเพื่อนโรงเรียนอื่นครับ เพราะตั้งแต่โรงเรียนปิด รู้สึกว่าเรียนช้า ตอนนี้มีแค่ทบทวนความรู้เก่า ๆ อยากเรียนอะไรใหม่ ๆ แล้วครับ ตั้งแต่โรงเรียนปิด ทุกวันผมตื่นมาก็ทำการบ้าน ดูใบงาน อ่านหนังสือบ้าง แล้วก็ช่วยย่าทำงานบ้าน มีบ้างครับที่นั่งเหม่อมองน้ำ แล้วก็คิดว่าอยากไปโรงเรียน แต่ไปไหนไม่ได้เลย …วันนี้ได้ซิมอินเทอร์เน็ตมาก็ดีใจ ผมจะได้เอามาใช้ดูแนวข้อสอบ ดูบทเรียนใหม่ ๆ บ้าง ผมชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ คิดว่าจะเอามาหาข้อมูลที่สนใจ ตั้งใจจะใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดครับ”
“อินเทอร์เน็ตคือทางออกเดียวที่ทำให้เราเข้าถึงความรู้”
น้องแพน นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนวัดเชิงท่า อำเภอบางปะอิน

น้องแพนคุ้นเคยกับน้ำท่วม เพราะ “มีทุกปี” แต่ปีนี้หนักกว่าที่เคย โรงเรียนปิดนานจนเด็กหญิงรู้สึกว่าการเรียนรู้ของตัวเองช้าลงทุกวัน
“ไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้เรียนเต็มที่ ไม่ได้ติวโอเน็ตเลย ทั้งที่ใกล้สอบแล้ว”
ความกดดันยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะต้องแข่งขันกับเด็กทั้งประเทศ
“ปกติไปโรงเรียนทุกวันเรายังต้องพยายามมาก ๆ แต่นี่ไปบ้างหยุดบ้าง ก็ไม่แน่ใจว่าจะสอบได้แค่ไหน”
เมื่อได้รับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตสำหรับใช้เรียน สีหน้าของเธอดูโล่งขึ้น
“ตอนนี้คิดว่าคอมพิวเตอร์กับอินเทอร์เน็ตที่ได้มาจะช่วยได้มากค่ะ ทั้งเรื่องเรียน หรือการติดต่อกับคุณครู ตอนนี้ถ้าครูให้งานออนไลน์มาเราก็ทำได้ หาข้อมูลเองได้ หรือมีตรงไหนไม่เข้าใจก็โทรหาครูได้ หนูคิดว่าช่วงเวลาแบบนี้ อินเทอร์เน็ตคือทางออกเดียวที่ทำให้เราเข้าถึงความรู้ได้ หรือช่วงเครียด ๆ ก็ยังเอามาดูคอนเทนต์สนุก ๆ ให้ผ่อนคลายได้บ้าง เพราะเราไปไหนไม่ได้เลย
“หนูอยากขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ให้เครื่องมือ ให้วิธีเรียน และไม่ทิ้งโรงเรียนของเราค่ะ”
“ดีใจที่จะได้ค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ที่ตัวเองสนใจ”
น้องแบม นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนประชากรรังสฤษฏ์ อำเภอบางบาล

น้องแบมเป็นหนึ่งในเด็กที่ไม่เคยมีโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเองมาก่อน การได้รับอุปกรณ์พร้อมอินเทอร์เน็ตจึงเป็นสิ่งใหม่ที่ทำให้เธอทั้งดีใจและตื่นเต้น
“ปกติหนูไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีเครื่องมือสื่อสารอะไรเลย พอได้คอมกับอินเทอร์เน็ตมาเลยรู้สึกตื่นเต้น ดีใจค่ะที่มีคอมใช้แล้ว ทีนี้ก็จะเอามาใช้เรียนตอนช่วงน้ำท่วมได้ หนูจะได้ค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ได้ฝึกใช้เครื่องมือ ใช้อินเทอร์เน็ตหาข้อมูลที่สนใจ เราจะได้ไม่เสียเวลาที่โรงเรียนปิดไปเปล่า ๆ ค่ะ”


สถานการณ์น้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาซึ่งทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รับน้ำแทนเมือง” ทุกปีสะท้อนให้เห็นว่า วิกฤตการเรียนรู้จากภัยพิบัติไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องได้รับการออกแบบระบบรองรับระยะยาว ทั้งในมิติของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ความพร้อมของโรงเรียนขนาดเล็ก และระบบติดตามช่วยเหลือเด็กกลุ่มเปราะบางไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษา
กสศ. ขอขอบคุณความทุ่มเทของคุณครูทุกท่าน ที่แม้สถานการณ์ยากลำบาก ก็ยังติดตามทุกข์สุขนักเรียน ส่งใบงานทบทวนความรู้ และทำหน้าที่เป็น “ด่านแรกของระบบปกป้องคุ้มครองเด็ก” อย่างต่อเนื่อง
วิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังท้าทายระบบการศึกษาไทย การสร้างกลไกการเรียนรู้ในภาวะวิกฤตที่เท่าเทียมและยั่งยืน จึงเป็นภารกิจสำคัญที่ประเทศไทยไม่อาจรอได้อีกต่อไป
ขอบคุณ “โครงการคอมพิวเตอร์เพื่อน้อง” มูลนิธิกระจกเงา สำหรับการสนับสนุนเด็ก ๆ ในภาวะวิกฤตร่วมกับ กสศ. ตลอดมา ในวันที่เส้นทางไปโรงเรียนยังถูกน้ำท่วมอยู่นั้น การส่งต่อโอกาส คือสิ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้ไม่หยุดลงไปพร้อมกับสายน้ำ