เมื่อครูสัญญา ลาออกแล้วแต่ครูสอญอ ยังต้องเป็นครูต่อไป

เมื่อครูสัญญา ลาออกแล้วแต่ครูสอญอ ยังต้องเป็นครูต่อไป

การศึกษาไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน เช่นเดียวกันกับระบบการศึกษาไม่ได้เกี่ยวข้องแค่เพียงกับเด็ก และเยาวชนผู้เป็น ‘นักเรียน’ เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับฟันเพืองสำคัญอย่าง ‘ครู’ เมื่อผู้เรียนและผู้สอนต่างเป็นสิ่งเกื้อหนุนให้ระบบการศึกษายังคงอยู่และดำเนินไป แต่ในปัจจุบันพื้นที่ว่างกับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้เรียนร่วงหล่นหาย ผู้สอนเลือกที่หันหลังให้กับระบบ 

ประเด็นเรื่องการศึกษาจึงมักเป็นเรื่องถกเถียงที่พบได้บ่อยในวงสนทนา บนหน้าข่าว หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มออนไลน์ ในหัวข้อที่หลากหลาย เมื่อมองภาพรวมแล้วจุดหมายปลายทางมุ่งไปยังคำถามเดียวกัน นั่นคือ “ระบบการศึกษาที่ดีควรเป็นอย่างไร” เมื่อขบคิดประเด็นดังกล่าวอย่างถี่ถ้วนชื่อของ ‘สัญญา มัครินคร์’ หรือครูสอญอ จึงผุดขึ้นมาท่ามกลางชุดข้อมูลมากมาย ‘ครู’ ผู้ซึ่งโลดแล่นในระบบมามากกว่า 10 ปี และไม่เคยคิดที่จะทิ้งบทบาทนั้น แม้ออกมาเริ่มต้นเส้นทางใหม่ก็ยังคงเลือกที่จะสานต่อการทำงานเกี่ยวกับการศึกษาในฐานะครูนอกระบบ

กว่าจะเป็นครูสอญอ สัญญา มัครินทร์

“สวัสดีครับ ชื่อสัญญา มัครินทร์ หรือสอญอ เคยเป็นครูในระบบแต่ตอนนี้ลาออกมาทำท่องเที่ยวชุมชนหรือเที่ยววิถีสีชมพู รวมทั้งทำงานด้านพัฒนากับงานการศึกษาร่วมกับชุมชน ในชื่อว่า มหาลัย’ไทบ้าน”

สอญอแนะนำตัวเองและสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยน้ำเสียงสบายๆ ท่าทีเป็นกันเอง เขายังเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงวัย ที่เป็นจิ๊กซอว์ส่วนต่างๆ ประกอบสร้างทั้งความฝัน ความชอบ และการตัดสินใจเลือกที่จะเป็นครู

“เราเป็นเด็กบ้านนอก ในมุมมองของเราอาชีพที่น่าสนใจมีไม่มากหนึ่งในนั้นคือครู โดยเหตุการณ์ที่ทำให้ประทับใจในอาชีพนี้ ตอนนั้นอยู่ ป. 5 แล้วมีครูคนหนึ่งแกเป็นนักเล่าเรื่อง เรารู้สึกว่าคนที่เรารู้เรื่องได้สนุกมันเท่”

จากความประทับใจในห้องเรียนที่คุณครูเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ของการเล่าเรื่องราวต่างๆ สอญอเล่าเสริมว่า เรื่องราวเหล่านั้นที่ได้รับฟังทำให้เขาได้เรียนรู้ในอีกมุมที่ต่างออกไป คือ การเรียนรู้เรื่องราวมิติชีวิต มันทำให้กำลังได้เรียนรู้การเติบโตของเด็กในวัยของครูที่ต้องดิ้นรนและเผชิญอุปสรรคต่างๆ

“ได้รับแรงบันดาลใจและประสบการณ์ที่ดีอีกครั้ง จากคุณครูตอนมัธยมปลาย แกเป็นครูหัวก้าวหน้ามาก มันทำให้ความรู้สึกว่าถ้าอยากเป็นครูชัดเจนขึ้น และทำให้เราตัดสินใจเรียนครู”

ระหว่างตระเตรียมเส้นทางในการเป็นครู ก็ได้เรียนรู้ตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน รู้ในสิ่งที่ชอบและไม่ชอบผ่านวิชาเรียน ศิลปะ เป็นวิชาโปรดที่สอญอรู้สึกว่าตัวเองเอาอยู่ รู้สึกสนุกเวลาที่ได้วาดเขียน และเป็นอิสระ แต่ในขณะเดียวกันบรรดาวิชาตระกูลตัวเลขกลายเป็นสิ่งที่ยากเย็น จนต้องกล้ำกลืนฝืนทนเรียนเพื่อสอบให้ผ่าน

น้ำเสียงที่ลื่นไหลในการบอกเล่าเรื่องราวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สอญอคล้ายกับว่าครุ่นคิดบางสิ่งก่อนจะเล่าต่อว่า การชอบหรือไม่ชอบวิชาเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากตัวผู้สอนด้วยเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามประคับประคองให้ผ่านมาได้ สิ่งเหล่านั้นประกอบสร้างไปสู่การเลือกสายเรียนในมหาวิทยาลัย และทำให้ได้กลายมาเป็นครูสัญญา มัครินทร์

บทบาทหน้าที่ของครูกับทางแยกที่เกิดขึ้นในใจ

“พอได้เป็นครูแล้วก็มีหลายเรื่องเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ก็มีหลายเรื่องที่ไม่คิดว่าครูต้องมาเจอหรือมาทำอะไรแบบนี้ การได้เป็นครูจึงมีทั้งเรื่องตรงปกและไม่ตรงปก

เป้าหมายตั้งแต่แรกชัดเจนว่า เราอยากเป็นครู แต่ไม่ได้มองว่าตัวเองจะเป็นครูจนเกษียณ ในช่วงชีวิตนี้เราก็อยากจะพาตัวเองไปเรียนรู้ไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วย”

ความชัดเจนที่ถูกเอ่ยถึงปรากฏในรูปแบบของช่วงเวลา สอญอวางภาพตัวเองในบทบาทของครูไว้ 10 ปี ทว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีนั้นการได้เป็นครูยิ่งทำให้ชอบในอาชีพนี้มากยิ่งขึ้น จนไม่ได้มองเห็นเห็นตัวเองในบทบาทอาชีพอื่น แต่การขีดเส้นเวลาที่ชัดเจนมากพอทำให้สอญอได้กลับมาพูดคุยกับตัวเองอีกครั้ง ว่ายังคงเหลือความฝันหรือความเชื่ออะไรที่อยากจะทำอีกไหม

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยเพราะเขาได้อยู่กับความเป็นครูมาตลอด จนเกิดการต่อรองเวลาเพิ่มเติมมาเป็นอีก 5 ปี

“ช่วง 2-3 ปี ก่อนจะเข้าสู่การเป็นครู 15 ปี เราคุยกับตัวเองเยอะมาก จนมีโอกาสเข้าร่วม workshop โครงการผู้นำอนาคต และได้เจอกับรุ่นพี่คนหนึ่งแกพูดประโยคหนึ่งกับเราและมันเปลี่ยนความคิดเรา

อย่าดูถูกศักยภาพมนุษย์ ถึงลาออกจากความเป็นครู แต่ไม่ได้ออกจากความเป็นคน คน มนุษย์เมีศักยภาพมากกว่านั้น”

หลังจากจิบน้ำกันไปคนละอึก บทสนทนาระหว่างเราจึงเริ่มอีกครั้ง ในคราวนี้สอญอเล่าเสริมว่า พอจบ Workshop นั้นการมาวางแผนต่างๆ จึงเริ่มขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน เรื่องความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเป้าหมายชีวิต

จบความฝันแต่ไม่ทิ้งความเป็นครู

บทบาทของ “ครูสัญญา มัครินทร์” สิ้นสุดลงเมื่อเข้าสู่ปีที่ 15 หลังจากได้ใช้เวลาไตร่ตรอง วางแผน และทบทวนตัวเองอย่างรอบคอบ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ตัดสินใจออกจากระบบ ก็คือ “ตัวระบบ” เอง

ประสบการณ์จากการเป็นครูในโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย ทำให้สอญอได้เปิดมุมมองและเห็นระบบการเรียนการสอนแบบโรงเรียนทางเลือกในระบบ โดยมีแนวคิดในการให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน

“เราได้ประสบการณ์เยอะมากจากที่นี่ แต่พอถึงจุดอิ่มตัว เราก็ลาออก แล้วย้ายไปโรงเรียนใหม่”

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านครั้งนั้นเกิดขึ้นช่วงโควิด-19 ทำให้สอญอต้องกลับมาทบทวนเส้นทางชีวิตที่วางไว้ พร้อมกับคำถามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับก้อนหินที่ทับถมจนกลายเป็นกำแพง ซึ่งไม่ใช่สิ่งภายนอก แต่คือตัวระบบที่ตนเป็นส่วนหนึ่ง

“พอมาอยู่ที่ใหม่ เราประเมินว่าคงอยู่ที่นี่ 3 ปี แต่ด้วยชุดความคิด ระบบการทำงาน รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรที่มีอำนาจนิยมแฝงอยู่มาก ทำให้เข้ากันได้ยาก”

‘คงไม่เหมาะกับที่นี่’ คำนี้คงอธิบายความรู้สึกของสอญอในช่วงขณะนั้นได้ดีที่สุด เมื่อความรู้สึกไม่เหมาะสม และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่แห่งนี้ชัดเจนมากขึ้น สอญอจึงเลือกมองหาเส้นทางใหม่เกี่ยวกับการทำงานพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่หรือแนวทางในแบบของเขาเอง

ขณะเดียวกันคำถามและข้อสงสัยก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก แต่การศึกษาเป็นสิ่งหยุดไม่ได้ รูปแบบการสอนแบบห้องเรียนเจอหน้ากันจึงถูกย้ายไปสู่ระบบออนไลน์ 

สอญอเล่าว่า เขาเผชิญกับความทุกข์และความเครียดในการสอนออนไลน์ เพราะมันไม่สอดคล้องกับวิธีการสอนรวมทั้งตัวตนของของเขา และการสอนออนไลน์ทำให้สอญอได้เห็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ในระหว่างที่สอนออนไลน์มีประเมินครูด้วย สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกว่าไม่แฟร์กับเรา และไม่แฟร์กับเด็ก เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีความพร้อมด้านอุปกรณ์”

สอญอจึงได้ลองเสนอแนวทางการเรียนรู้รูปแบบใหม่ด้วยการบูรณาการเข้ากับพื้นที่ชุมชน เช่น การพาเด็กๆออกไปเรียนรู้ในชุมชน ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี แต่ปัญหายังคงมี เช่น การสแกนนิ้วเข้า-ออก การนับชั่วโมง ซึ่งไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของการเรียนรู้ลักษณะนี้ ความตั้งใจที่จะลาออกจึงชัดเจนขึ้นพร้อมกับคำถามว่า ‘ระบบการเรียนแบบไหนถึงจะเหมาะกับเด็กทุกคน’

“ตอนนั้นตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลาออก บอกที่บ้านบอกคนเล่าข้างไว้หมดแล้วได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานกับเด็กๆ เขาชอบและสนใจการเรียนที่เราพาทำนะ แต่คงต้องให้ไปเบ่งบานที่อื่น”

ด้วยข้อจำกัดที่แตกต่างกันไปของแต่ละพื้นที่ ทำให้สอญอเลือกที่จะให้เวลาตัวเองอีกหนึ่งเทอมเพื่อทำความเข้าใจทั้งตัวเองและระบบ รอจนถึงจังหวะที่เหมาะจึงได้ก้าวออกมาอย่างมั่นใจ

แม้จะออกจากการเป็นข้าราชการครูมาแล้ว แต่คำนำหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไป ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนยังเรียก “ครู” อยู่ น่าจะเพราะการทำงานในอาชีพนี้มาก 15 ปี

“คำว่าครูมันกลายเป็นคำนำหน้าที่ติดมากับตัวเราโดยปริยาย และอาจด้วยงานที่เราทำในปัจจุบันก็ยังเกี่ยวข้องกับการศึกษาอยู่ คนเลยยังติดเรียกเราว่าครู”

แม้จะเปลี่ยนเส้นทางออกจากกรอบแต่ถึงอย่างนั้น สอญอก็ยังคงขับเคลื่อนในเรื่องประเด็นการศึกษาต่อไปด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู ซึ่งอาจมีสรรพนามนำหน้าเพิ่มเติมมาเป็น พี่ อ้าย น้า แต่สุดท้ายความเป็น ‘ครู’ ก็ไม่เคยหายไปจากเขา

ครูสอญอแตกต่างจากครูสัญญาอย่างไร

ตลอดการพูดคุยแลกเปลี่ยน เสียงหัวเราะและการเอ่ยถามดังสลับกันไป และนี่เป็นอีกครั้งที่เสียงหัวเราะของสอญอดังขึ้นอีกครั้ง เขายิ้มเล็กๆ ก่อนจะเอ่ยเล่าถึงความแตกต่างในการเป็น ครูสอญอ และ ครูสัญญา

“ครูสัญญาเป็นคนที่อยู่ในระบบ จะมีเด็กมาเรียนกับเราทุกวัน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ เพราะมันทำให้สกิลการสอนของครูยังสดใหม่ตลอดเวลา”

การอยู่ในระบบมีข้อได้เปรียบในด้านพื้นที่และทรัพยากร ทำให้ได้ทดลอง ได้ฝึกฝน ได้เห็นผล ได้ปรับทันที และได้เห็นพัฒนาการของเด็กอย่างต่อเนื่อง แต่ในระบบก็มีข้อจำกัด เช่น ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งบางอย่างก็ลดทอนพลังของครู เพราะมีภาระอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการสอนโดยตรงเข้ามาเป็นภาระงานอีกส่วนที่ต้องรับผิดชอบ

“ส่วนครูสอญอ เป็นคนที่ออกนอกระบบ ออกมาจากกรอบกฎเกณฑ์ สิ่งแตกต่างอย่างชัดเจน คือ เรามีอิสระ”

ข้อดีของการเป็นครูนอกระบบ คือ มีอิสระ เป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้ และออกแบบวิธีการสอนได้เอง ได้ทำงานรูปแบบใหม่ที่มีความท้าทาย แต่ก็มีข้อจำกัด คือไม่มีนักเรียนประจำ นักเรียนส่วนใหญ่มักจะมาร่วมการเรียนรู้เป็นรอบๆ ผ่านค่าย หรือกิจกรรมเฉพาะ ซึ่งต้องทำความเข้าใจใหม่ทุกครั้งกับกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนไป

“พอเป็นครูนอกระบบ ทำพื้นที่การเรียนรู้เอง แน่นอนว่าเราไม่สามารถเลือกเด็กหรือผู้ที่จะเข้าร่วมได้ รวมทั้งควมคุมไม่ได้ด้วยเช่นกันว่าเขาจะมาเรียนอย่างต่อเนื่องไหม”

เพราะไม่มีระบบวัดผล ไม่มีเกรดหรือข้อผูกมัด ผลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความสัมพันธ์ มีแรงจูงใจ และเป้าหมายร่วมกันสิ่งนี้จึงเป็นความท้าทายในการทำงานนอกระบบ สอญอจึงมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความแตกต่างระหว่างครูสัญญาและครูสอญอ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกันไป

เรียนรู้ผ่านชีวิต ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน

“เราเริ่มต้นการเรียนรู้บูรณาการกับพื้นที่และสิ่งรอบตัว ผ่านการจัดกิจกรรม จัดค่ายความรู้ เพื่อเชิญชวนเด็กๆ รวมทั้งผู้ที่สนใจมาใช้ชีวิตร่วมกันผ่านกิจกรรมที่เราจัดขึ้น”

สอญอเกริ่นถึงที่มาที่ไปของกระบวนการเรียนรู้ในพื้นที่สีชมพูอย่างฉะฉาน ทำให้เราเห็นภาพโดยง่าย ภาพของค่ายการเรียนรู้ถูกประกอบร่างขึ้นมาในความคิด คู่ไปกับเส้นทางการเดินลัดเลาะแนวเขา สอญออธิบายเสริมว่า ‘การเรียน’ ไม่ใช่แค่การนั่งฟังหรือทำแบบฝึกหัด แต่คือการ ‘ใช้ชีวิต’ ดังนั้น การไปขึ้นเขา เข้าป่า หรือแม้แต่นั่งวาดเขียนก็ล้วนแต่เป็นการเรียนรู้

“เราใช้กิจกรรมพวกนี้เป็นตัวช่วยคัดกรองคน ซึ่งตอนแรกเด็กมาร่วมกิจกรรมเยอะมาก สุดท้ายเหลือกลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมของเราและการเรียนรู้ในแบบที่เราสร้าง”

สอญอไม่ปฏิเสธเลยว่าสิ่งที่เขาต้องการในการจัดพื้นที่การเรียนรู้หรือแม้แต่กิจกรรมต่างๆ คือ ความต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่กิจกรรมครั้งเดียวจบ แต่ต้องลงลึกและสร้างสายสัมพันธ์กับชุมชน

ในระหว่างทางการทำงานล้วนต้องพบเจอปัญหา อุปสรรค และถูกตั้งคำถาม ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้

“บางครั้งก็ต้องเผชิญกับข้อจำกัด เช่น ความไม่เข้าใจของผู้ปกครอง หรือการตั้งคำถามจากคนพื้นที่ว่า เรากำลังทำอยู่?”

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้เวลา ซึ่งขณะนี้เวลาและสิ่งที่สอญอได้ริเริ่มก็กำลังทำหน้าที่ของมัน และอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญคงหนีไมพ้นเรื่อง ‘ทีม’ เพราะการทำงานกับเด็กและเยาวชนรวมทั้งชุมชนไม่สามารถทำคนเดียวได้ 

ต้องมีเพื่อนร่วมทีมที่เข้าใจ มีชุดความคิดที่ไปด้วยกันได้ เพราะเด็กแต่ละคนมีพื้นฐาน ความสนใจ และพฤติกรรมแตกต่างกัน

“บางคนคาดหวังว่าเด็กจะตั้งใจ เรียนรู้ รับผิดชอบ แต่พอเจอเด็กจริงๆ มันไม่ตรงตามนั้น เราก็ต้องคุยกับทีมปรับความเข้าใจกันใหม่ เพื่อให้เข้าใจไปในทางเดียวกัน”

สอญอขยับจัดท่านั่งเป็นท่าที่ถนัด และตอบคำถามของเราอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ดวงตาเป็นประกาย เส้นทางของการทำงานด้านการศึกษานอกระบบ เริ่มต้นจากการจัดค่ายเรียนรู้เล็กๆ ที่เน้นให้เด็กมา “เล่นและใช้ชีวิตร่วมกัน” มากกว่าเรียนในห้องแบบเดิม

เด็กกลุ่มแรกที่เข้ามาร่วม มักจะเป็นกลุ่มที่อยากลอง อยากสนุก สอญอจึงต้องทำให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาได้มาทำมันสามารถส่งเสริมให้เติบโตได้ ซึ่งหลักฐานที่เริ่มทำให้เด็กๆ รวมถึงผู้ปกครองเริ่มเชื่อมั่น คือ “รายได้” ที่มาจากกิจกรรม

“ช่วงแรกเรายังไม่มีโครงสร้างหรือหน่วยงานรองรับ แต่เรามีพื้นที่ มีงาน มีอาชีพให้เด็กได้ทดลองทำ ได้ลองเรียนรู้ ได้พัฒนา”

และในช่วงปีที่ผ่านมา ทางสอญอและทีมงานได้เข้าร่วมโครงการของทาง CYF เกี่ยวกับศึกษาหยืดหยุ่น ซึ่งทำให้การทำงานของสอญอมีความเป็น ‘รูปธรรม’ มากขึ้น

เด็กที่เคยไปค่าย ปีนเขา ช่วยกิจกรรมในพื้นที่ สามารถ เก็บประสบการณ์เหล่านี้โอนไปเป็นคะแนน ทักษะ หรือแม้แต่เป็นหน่วยกิตเพื่อรับ “วุฒิการศึกษา”

“มันไม่ใช่แค่พาเด็กไปเล่น แต่มันกลายเป็นระบบที่วัดผลได้ มีเกณฑ์ประเมิน และเด็กสามารถใช้ต่อยอดชีวิตตัวเองได้จริง”

สอญอเล่าว่า เขาได้รับแนวทางและแรงบันดาลใจนี้มาจาก การไปดูงานที่สุราษฎร์ธานี แล้วรู้จักกับคุณตูนและลุงหน่อง ผู้ซึ่งกำลังขับเคลื่อน “โรงเรียนเคลื่อนที่หรือโรงเรียนมือถือ” ไม่ว่าเรียนอะไรก็ได้วุติการศึกษา และสามารถออกวุฒิการศึกษาให้เด็กได้จริง สอญอมองว่าแนวทางนี้น่าจะตอบโจทย์กับการศึกษาที่ตัวเองขับเคลื่อนอยู่ จึงได้เอาแนวคิดของโมเดลนี้มาขายไอเดียเพิ่มเติมที่ขอนแก่น

“เราชวนทั้งกลุ่มเพื่อน แก๊งอีสานจะเลิร์น ไปฟังด้วยกัน รวมถึงชวนท้องถิ่นมาร่วมฟัง เพราะอยากให้ทุกคนเห็นว่า มันคือโอกาสใหม่ของเด็กที่จะสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ในแบบที่เขาชอบและสนใจ”

หลังจากนั้น ทีมงานจึงเริ่มต้นเข้าร่วมโครงการและนำเอาโรงเรียนมือถือมาใช้อย่างจริงจังในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว 

เริ่มเปิดรับสมัครเด็ก ทั้งจากในชุมชนและจากพื้นที่อื่นๆ ที่ “เห็นโอกาส” และอยากมีเส้นทางการเรียนรู้แบบใหม่ จนกระทั่งถึงเดือนเมษายน เด็กหลายคนที่ได้ลงทะเบียนเรียน รับวุฒิการศึกษาถึง 14 คน

“มันเริ่มชัดมากขึ้นว่า เรากำลังสร้างโอกาสการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องทักษะ รายได้ และการได้รับวุฒิการศึกษา”

โรงเรียนมือถือและความเป็นไปได้ใหม่ๆ

บทสนทนาของเราทั้งคู่ออกรสออกชาติมากยิ่งขึ้น เมื่อเราได้รับฟังและเห็นเส้นทางการเปลี่ยนผ่านจากในระบบสู่นอกระบบของการเป็นครู รวมถึงการค้นหาคำตอบระบบการศึกษาที่ดีและเหมาะสมควรที่จะเป็นอย่างไร สำหรับสอญอแล้ว ระบบการศึกษาที่ดีต้องตอบโจทย์ รวมทั้งเป็นทางเลือกที่เด็กและเยาวชนสามารถ

นำไปต่อยอดได้

“การให้เด็กได้เป็นเจ้าของเส้นทางที่เขาเลือกร่วมทั้งการศึกษาที่เขามีส่วนออกแบบเอง เราคิดว่ามันเป็นทางเลือกใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์เด็กทุกคน เพราะว่าพวกเขาสามารถเลือกได้”

‘โรงเรียนมือถือ’ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ถูกมาใช้และเห็นผลเป็นรูปธรรมจากการที่มีวุฒิการศึกษารองรับ แต่การที่จะถูกยอมรับได้นั้นไม่ได้ง่าย สอญอเล่าถึงช่วงเริ่มต้นนำ ‘โรงเรียนมือถือ’ มาปรับใช้กับการเรียนการสอนในรูปแบบของตน ในช่วงปีแรกชาวบ้านในพื้นที่รวมถึงตัวเด็กและเยาวชนเองไม่ให้ความไว้ใจหรือเชื่อมั่นเจ้าสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย

“หลายคนไม่มั่นใจว่าวุฒิที่ได้จะใช้เรียนต่อหรือสมัครงานได้จริงไหม แต่พอมีเด็กเรียนจบจริง และสามารถใช้วุฒิการศึกษาที่ได้ไปสมัครเรียนต่อหรือหางานในระบบได้ ความมั่นใจก็ตามมา”

บางคนเรียนอยู่กับ กศน. ต้องใช้เวลาอีก 2 ปี แต่พอเรียนกับเรา 4-5 เดือนก็ได้วุฒิ ม.6 ซึ่งสอญอและทีมงานมองว่าสิ่งนี้เป็นทั้งสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้แก่เด็กและเยาวชน ให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เร็วขึ้น ไปทำงานที่มีสวัสดิการดีขึ้น รายได้มากขึ้น กลายเป็นแรงงานในระบบ

ซึ่งหากถามถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในมุมของสอญอความเปลี่ยนแปลงแรกที่เห็นได้ชัด คือ ความเป็นไปได้ใหม่ในเรื่องการศึกษา ที่คนไม่เคยนึกถึงมาก่อน เพราะเมื่อพูดถึงการศึกษา คนส่วนใหญ่จะคิดถึงแค่โรงเรียน หรือไม่ก็ กศน. ซึ่งก็มีข้อจำกัด เช่น เวลา สถานที่ หรือกระบวนการเรียนที่ไม่ยืดหยุ่น

“โรงเรียนมือถือหรือโรงเรียนเคลื่อนที่ กลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กลุ่มเด็กนอกระบบอีกแบบหนึ่ง เพราะว่ามีความยืดหยุ่นสูง สามารถเรียนตอนไหนก็ได้ ทำงานเพื่อเก็บเป็นหน่วยกิตก็ได้ และยังได้วุฒิรับรองจากรัฐ”

เมื่อสามารถออกวุฒิการศึกษาได้เอง และเป็นที่รับรู้ของสังคม สิ่งนี้มันเหมือนเป็นการ คืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับชุมชนด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อให้คนในพื้นที่ตระหนักว่าพวกเขาเองก็สามารถเป็นเจ้าของและออกแบบการเรียนรู้ที่มันเหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตตัวเองได้เช่นเดียวกัน

ทว่าระหว่างเส้นทางนี้ก็มีเด็กที่ร่วงหล่นหายไปตามปกติ เพราะบางครั้งแต่ละคนล้วนมีปัจจัยอื่นที่ควบคุมไม่ได้มาส่งผลกระทบ 

สอญอกล่าวถึงประเด็นนี้ด้วยสีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม เพราะว่าการทำงานของเขาทำให้เจอเด็กและเยาวชนหลากหลายกลุ่ม การที่จะมีใครเลือกไปต่อหรือไม่ไปต่อ ในส่วนนี้สอญอจะไม่ใช้การบังคับแต่อย่างใด เขายกอำนาจการตัดสินใจให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้เลือกและตัดใจด้วยตัวเอง

นั่นทำให้เราซึ่งเป็นผู้มาร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนพยักหน้ารับฟัง และครุ่นคิดตาม ในสังคมที่มีความหลากหลายนี้ เด็กและเยาวชนเองก็ย่อมหลากหลายด้วยเช่นเดียวกัน การที่ให้พวกเขาได้มีทางเลือกด้วยตัวเองคงเป็นการสอนอย่างง่าย ว่าถึงแม้จะเป็นเด็กแต่พวกเขาก็มีสิทธิ์เช่นเดียวกัน 

เมื่อขยายความถามเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย ว่าตลอดการทำงานด้านการศึกษานอกระบบที่ผ่านมามีเด็กหรือเยาวชนคนไหนที่อยู่กันมาตั้งแต่ต้น และได้รับวุฒิจบการศึกษาจากเราบ้างไหม 

สอญอรับฟังคำถามและใช้เวลาคิดอย่างเร็วๆ เขายิ้มอย่างภูมิใจและตอบชัดถ้อยคำในตอนที่เอ่ยถึง “เจ้าไผ่” และ “เจ้าคลิ๊ก”

“ไผ่ กับ คลิ๊ก อยู่กับทีมของเรามาตั้งแต่ต้น และทั้งคู่เป็นหนึ่งใน 14 คนที่ได้รับวุฒิจบการศึกษาในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา”

สำหรับไผ่ สอญอเล่าถึงว่า ไผ่เป็นเด็กดี มีความสามารถ เรียนหนังสือเก่ง แต่ไม่อยากเรียนต่อ เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่ทางตัวเอง ตอนแรกก็ไม่สมัครเข้าร่วมโครงการด้วยซ้ำ จนเราต้องชวน ต้องพูดคุยเจรจากันจริงจัง เพราะสอญอเชื่อว่าเขาควรได้วุฒิจบมัธยมต้นปีที่ 3 เพื่อที่จะได้นำไปใช้ต่อยอดในด้านการสมัครงาน

สุดท้ายไผ่ก็เข้าร่วม และเรียนจนจบ ทำให้เห็นพัฒนาการอย่างชัดเจน พอตัวเด็กมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นว่าเขาเลือกในสิ่งแบบที่อยากจะเรียนหรืออยากจะเป็นเองได้ ก็จะเริ่มบอกกล่าวชักชวนเพื่อนมาด้วย กลายเป็นตัวอย่างที่ดีให้เพื่อนๆ

ส่วนคลิ๊กเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย (ภาวะโปลิโอ) แต่ไม่คลิ๊กไม่เคยมองว่าเป็นอุปสรรคเลย เขาลงพื้นที่ทำกิจกรรมเต็มที่ร่วมกับทางคณะทำงาน และเรียนรู้อยู่ตลอด พอได้วุฒิจบการศึกษา พ่อแม่เขาก็ดีใจมาก

“สองเคสนี้ทำให้เรายิ่งมั่นใจว่า เรารู้ว่าจะพาเด็กเหล่านี้ไปต่อยังไงได้ และเขาเองก็เริ่มเห็นอนาคตของตัวเอง”

หากถามว่าโรงเรียนมือถือจะกลายมาเป็นการศึกษากระแสหลักได้ไหม สำหรับสอญอเขามองว่ามีความหวัง และอยากให้มันกลายเป็นกระแสหลักในอนาคต เพราะไม่ใช่แค่รัฐหรือโรงเรียนที่ทำการศึกษาได้ ชุมชน องค์กรท้องถิ่น หรือแม้แต่ผู้ประกอบการก็ทำได้ ถ้าทุกคนมองว่า ‘ตัวเราเองจัดการศึกษาได้’

“ถ้าเด็กอยากเรียนทำข่าว อยากเป็นโปรดิวเซอร์ เขาอาจเลือกมาเรียนกับสำนักข่าวอีสานเรคคอร์ด หรือสำนักข่าวลาวเด้อ ที่มีของจริง มีของให้ทำเลย เด็กจะได้เรียนตรงกับสิ่งที่สนใจ”

ถ้าการศึกษารูปแบบเหล่านี้ชัดเจนขึ้น และรัฐรับรู้มากขึ้นและให้การสนับสนุน มันจะทำให้ทำให้การศึกษามีความหลากหลายเพียงพอสำหรับเด็กยุคใหม่ ที่เติบโตมากับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

การหลุดออกนอกระบบของ ‘ครู’ และ ‘นักเรียน’

ความเงียบของสอญอเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด รอยยิ้มของเขาหายไป เช่นเดียวกับดวงตาที่หมดประกายสดใส เขาใช้เวลารวบรวมคำตอบก่อนที่จะเอ่ยออกมา

“รู้สึกโกรธและเสียดาย โดยเฉพาะเวลาที่ครูดีๆ ลาออก ครูที่เรารู้ว่าเขามีศักยภาพและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มาก พอเขาออก เราโคตรเสียดายเลย”

สอญอกล่าวว่า ตอนยังอยู่ในระบบอาจไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ แต่พอออกมาแล้ว เราไม่อยากให้ครูดีๆ ต้องออกมาแบบเราเพราะเขายังทำอะไรได้อีกมากในระบบ และยังมีทรัพยากรบางอย่างที่จะดูแลเด็กได้

“สิ่งที่โกรธคือ ‘ระบบ’ มันควรทบทวนได้แล้วนะ ถ้ายังจัดการศึกษาแบบเดิม มันจะผลักทั้งครูและเด็กออกไปทีละคน สิ่งที่ต้องทำคือ “เปลี่ยน” และ “ทิ้ง” อะไรบางอย่างที่มันล้าสมัยแล้ว มันไม่ตอบโจทย์ยุคนี้”

สิ่งสำคัญที่สุดที่สอญอเน้นย้ำอย่างหนักแน่น คือ ระบบต้องยอมรับด้วยว่ามีปัญหาจริงๆ ถ้าไม่เปลี่ยน เด็กก็จะค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ในขณะที่สังคมเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เด็กเกิดน้อยลงทุกวัน ถ้าคุณภาพเด็กไม่ดี ระบบก็จะยิ่งเปราะบาง

ประสบการณ์การเป็นครูในระบบกว่า 15 ปี อาจนับได้ว่าสอญอคลุกคลีกับหลายสิ่งมาพอสมควร ซึ่งมากพอที่จะหยิบยกมาบอกเล่าคลี่กางชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข หากฝากถ้อยคำบางอย่างถึงคุณครูทุกคนทั้งในระบบและนอกระบบ อยากจะบอกอะไรกับพวกเขา สอญอครุ่นคิดครู่หนึ่งกับคำถามนี้แล้วจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ขอบคุณที่ทำงานด้านการศึกษาและพัฒนาสังคม เพราะคุณคือคนที่ “รัก” และ “เคารพ” คนอื่นมาก ถึงได้เลือกทำงานเพื่อคนอื่น ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง พวกคุณเหนื่อย และต้องเผชิญข้อจำกัดมากมาย แต่คุณยังอยู่ในจุดนั้นอยากให้คุณดูแลเด็กให้ดีที่สุด เพราะเด็กเหล่านี้คือความหวังของสังคม แต่ถ้าอยู่แล้วกัดกินตัวเองจนทุกข์หรือผิดหวัง ลองเปลี่ยนสนาม เปลี่ยนเวที บางทีคุณอาจจะงอกงามในพื้นที่ใหม่ หรือสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้”

การพูดคุยของพวกเราดำเนินมาระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมากพอที่จะทำให้เห็นถึงเรื่องราวการเดินทาง และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่แล้วความสงสัยของเราก็กลายเป็นคำถามอีกครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากับทุกสิ่งที่ได้ลงมือทำรวมทั้งการเป็นครู มันทำให้รู้สึกถึงความสำเร็จอะไรบางอย่างไหม? สอญอหัวเราะเบาๆ และตอบกลับ

“เราเป็นครูอยู่ในระบบประมาณ 15 ปี ตอนนี้ก็ยังขับเคลื่อนในฐานะครูอิสระ ความสำเร็จมันเกิดตั้งแต่วันที่เราได้เป็นครูแล้ว ถึงแม้บางวันจะรู้สึกไม่เต็มร้อย แต่เรารู้ว่าเราทำงานที่มีความหมาย ได้เติบโต ได้เรียนรู้ และสนุกไปกับมัน”

กล่าวสรุปอย่างกระชับพร้อมกับรอยยิ้มส่งท้าย สำหรับสอญอไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน การได้ทำงานด้านการศึกษาล้วนแต่เป็นความสำเร็จทั้งสิ้น

“ความสำเร็จนี้ไม่ส่งผลแค่กับเรา แต่มันเปลี่ยนชีวิตคน เปลี่ยนชุมชน เด็กมีวุฒิ คนในชุมชนลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากร เราชวนคนเก่งๆ มาร่วมทำงานด้วย ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จที่เราภาคภูมิใจมาก”

ความหวังในวันข้างหน้ากับการศึกษาที่โอบรับทุกคน

ก่อนที่จะต้องร่ำลาเราส่งท้ายด้วยความหวังในวันข้างหน้า และแน่นอนว่าสอญอมีมันอย่างเปี่ยมล้น

“เรามีความหวังนะ ทุกวันนี้เรายังทำงานอยู่บนพื้นฐานของความหวังและความฝัน บางอย่างเราอาจไม่ได้เห็นผลในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า แต่เรากำลัง “ถางทาง”หรืออาจจะกำลังก่อ “อิฐก้อนแรก” ของวิหารหลังใหญ่ หรือกำแพงที่มั่นคง”

สอญอกล่าวว่าภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงอาจยังไม่ชัดในยุคเรา แต่เราคือส่วนหนึ่งของมันอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ก็มีคนวางรากฐานมาก่อนแล้ว และเราก็กำลังสานต่อ ให้มันสามารถไปต่อได้ ขอให้เชื่อว่า ทุกแรงที่ลงมือทำวันนี้ กำลังร่วมกันสร้าง ‘นิเวศการเรียนรู้ใหม่’ และเปลี่ยนความเชื่อว่า “การศึกษาเป็นของทุกคน” ให้กลายเป็นจริงในสักวันหนึ่ง


เรื่อง : ณัฐพร วัฒตะนันท์
ภาพ : อาชวิชญ์ อินทร์หา