-“ไม่ใช่แค่ตามเด็กกลับมา แต่คือทำอย่างไรให้การศึกษาเข้าไปอยู่ในชีวิตเขาได้”
การศึกษายืดหยุ่นคือระบบที่ปรับรูปแบบเรียนให้ไปอยู่ในชีวิตเด็กจริงๆ ไม่ว่าจะเรียนออนไลน์ เทียบโอนประสบการณ์ หรือจัดเวลายืดหยุ่น ลดโอกาสหลุดออกจากระบบ โดยเฉพาะเด็กยากจน เด็กมีภาระครอบครัว หรือไม่มีอุปกรณ์ จนกลายเป็นกลไกสำคัญที่พาเด็กกลับมามีทางเลือกและโอกาสเรียนต่ออีกครั้ง
-ครูจรรยวรรธน์คือแรงขับเคลื่อนหลักของโมเดลนี้ในพื้นที่ชนบทที่โรงเรียนมหาราช 7 ตั้งอยู่ เธอทำบทบาททั้งครู นักเยี่ยมบ้าน และผู้ประสานงานชุมชน มองปัญหาเด็กหลุดจากระบบว่าเป็นสัญญาณให้โรงเรียนต้องปรับตัว ไม่ใช่โทษเด็ก เธอพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริงว่าเด็กที่เรียนแบบยืดหยุ่นสามารถเรียนจบ มีทักษะชีวิต และก้าวต่อได้อย่างมั่นใจ
-แม้ชุมชนเคยสงสัยว่าการศึกษายืดหยุ่นจะลดมาตรฐานการศึกษาหรือไม่ แต่ผลลัพธ์จริงคือเด็กกลับมายืนได้อย่างสง่างาม นี่ทำให้ความเชื่อของผู้คนเปลี่ยน เพราะเห็นด้วยตา ว่าโอกาสที่เปิดกว้าง ทำให้เด็กกลับมายืนในสังคมได้อย่างมั่นคงโดยแท้

“ครูสะดวกให้สัมภาษณ์วันอังคารค่ะ เพราะวันอังคารเป็นวันที่ครูจัดตารางไว้สำหรับการศึกษายืดหยุ่น”
จรรยวรรธน์ ผิวเกลี้ยง หรือครูพีท แห่งโรงเรียนมหาราช 7 อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เอ่ยรับนัดหมายจากทีม กสศ. ที่โทรหาในบ่ายวันศุกร์ เสียงของครูฟังดูกระฉับกระเฉงแต่อ่อนโยน นี่คือบุคคลที่เป็นหนึ่งในข้อต่อสำคัญที่เป็นทั้งลมใต้ปีกและแรงผลักดัน ให้คำว่า “การศึกษายืดหยุ่น” ก่อรูปร่างได้จริงในเขตพื้นที่ชนบทห่างไกลที่โรงเรียนมหาราช 7 ตั้งอยู่
โรงเรียนมหาราช 7 เริ่มนำแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษายืดหยุ่นมาขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปแบบตั้งแต่ปีการศึกษา 2566 หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ยากจนพิเศษ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ แม้โควิดจะผ่านพ้นไปแล้ว ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบกลับไม่ได้จางหายไปด้วย
“จากการติดตามข้อมูลของนักเรียนในระบบ DMC เราพบว่ามีนักเรียนหลายคนที่ขาดเรียนต่อเนื่องแล้วก็หลุดออกจากระบบ” เธอหยุดช่วงหนึ่งก่อนพูดต่อ “แล้วที่น่าคิดคือ พอเด็กกลับเข้ามาเราก็จะยุติการติดตาม เพราะคิดว่าเด็กกลับเข้ามาแล้วก็สบายใจ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เพราะเด็กมีการหลุดออกระหว่างทางอีก”
นั่นคือจุดที่ครูจรรยวรรธน์และโรงเรียนตระหนักว่า การแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบ ไม่ใช่แค่การวิ่งไล่ตามเด็กกลับมาเรียน แต่เป็นการตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเขาถึงต้องไป? และเราจะปรับการศึกษาให้เข้าไปอยู่ในชีวิตเด็กได้อย่างไร?
ที่สำคัญกว่านั้น อะไรคือปัจจัยที่จะทำให้โรงเรียนแห่งหนึ่งขับเคลื่อนการศึกษายืดหยุ่นได้อย่างลุล่วง? ผู้บริหาร คณะครู นโยบาย และชุมชนรายรอบ ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง?
กสศ. ได้นัดคุยกับครูจรรยวรรธน์ทาง Zoom และนี่คือมุมมอง ทัศนะ และคำตอบที่ผู้สนใจขับเคลื่อนการศึกษายืดหยุ่นควรรับฟังเป็นอย่างยิ่ง

จุดเริ่มต้นที่ไม่ใช่แค่นโยบาย แต่คือความจำเป็น
โรงเรียนมหาราช 7 เริ่มต้นนำการศึกษายืดหยุ่นเข้ามาตอนไหน และอะไรคือแรงผลักดันให้อยากทำจริงจัง?
ตรงนี้ต้องย้อนกลับไปถึงช่วงหลังโควิด-19 ปีการศึกษา 2566 เป็นช่วงเวลาที่เราเห็นผลกระทบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่ยากจนพิเศษ พวกเขาไม่มีเครื่องมือในการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เน็ต บางคนมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อีกหลายคนมีภาระครอบครัว ต้องไปช่วยผู้ปกครองทำงานจนไม่สามารถเรียนตามเวลาได้
จากการติดตามข้อมูลนักเรียนในระบบ DMC เราพบว่ามีเด็กหลายคนที่ขาดเรียนต่อเนื่องแล้วหลุดออกจากระบบ ตอนนั้นเราก็พยายามติดตามพาเด็กกลับเข้ามา แต่แล้วก็ค้นพบว่า พอเด็กกลับเข้ามาเราก็มักจะยุติการติดตาม คิดว่าสบายใจแล้ว ทว่าความจริงคือเด็กกลับหลุดออกไประหว่างทางอีก
เราเลยมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าเด็กต้องการการสนับสนุนในเรื่องของการดำรงชีพ ต้องให้ท้องอิ่มก่อน แต่เราไม่สามารถไปเพิ่มหรือหาแนวร่วมในเรื่องของการสร้างรายได้ให้กับเด็กได้ในระยะเวลาสั้นๆ ขณะที่การศึกษายังต้องดำเนินต่อไป มันจึงกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบอีกครั้ง
ตรงนี้เลยเป็นความรู้สึกของเราว่า เราต้องมีหน่วยงานที่เข้ามาช่วย และพอดีจังหวะเหมาะที่เรามีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมหาแนวทางแก้ปัญหากับเขตพื้นที่ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 เกี่ยวกับการจัดการศึกษายืดหยุ่นในโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” มีผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงดร.เนตรดาว ยั่งยุบล เข้ามามีส่วนร่วม ทำให้เรามีความรู้สึกว่าเรามีแสงสว่างในเรื่องของการแก้ปัญหา
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ


แล้วมีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่ทำให้โรงเรียนมหาราช 7 ขับเคลื่อนเรื่องการศึกษายืดหยุ่นอย่างแข็งขัน?
มีหลายปัจจัยที่ทำให้โรงเรียนมหาราช 7 ขับเคลื่อนเรื่องการศึกษายืดหยุ่น
อันดับแรกคือปัญหาเด็กตกหล่นและหลุดออกจากระบบที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โรงเรียนเห็นแล้วว่าเราต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบทของเด็กที่กำลังจะสูญเสียโอกาสทางการศึกษาถาวร เพราะเมื่อเด็กขาดเรียนต่อเนื่องถึงหนึ่งเดือน โอกาสที่จะหลุดถาวรมันเกือบ 100% ทันที
สอง คือความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่โควิดเปิดเผยให้เห็น เด็กที่บ้านมีภาวะทางเศรษฐกิจไม่ดีไม่สามารถใช้โทรศัพท์เรียนรู้ได้ มันเข้าไม่ถึงจริงๆ บางบ้านไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือมีอุปกรณ์แต่ไม่มีเงินเติม เราจึงอยากมีการศึกษาทางเลือกที่ตอบสนองได้จริง ที่เด็กสามารถเรียนควบคู่กับการทำงานได้
สาม คือนโยบายของประเทศที่สอดคล้องกับทิศทางของเรา สพฐ. และกระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ซึ่งตรงกับวิสัยทัศน์ของโรงเรียนเราที่ว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
สี่ คือพลังของชุมชนและภาคีเครือข่าย เราได้ผู้นำชุมชนที่มีเป้าหมายเดียวกันว่าเราอยากให้เด็กในชุมชนเห็นคุณค่าทางการศึกษาและโอกาสหลุดออกจากระบบน้อยลง โชคดีที่คณะกรรมการสถานศึกษาของเราเป็นผู้นำชุมชนและทีมงานของ อบต. ทำให้เราสามารถดึงหน่วยงานต่างๆ เข้ามาร่วมงานได้ ไม่ว่าจะเป็นภาคี กสศ., สพฐ., สพป.ราชบุรีเขต 1., และดร.บรรเจิด อุ่นมณีรัตน์ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 1 ที่คอยสนับสนุน
และสุดท้ายที่สำคัญมากคือวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร วันนั้นที่มีการประชุม ผู้อำนวยการเขตถามว่าโรงเรียนมหาราช 7 สามารถดำเนินการตามนโยบายได้ไหม คุณครูที่ไปประชุมไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็โทรถามผู้อำนวยการโรงเรียน ท่านผู้อำนวยการก็ตกลงทันที มันบ่งบอกว่าวิสัยทัศน์ของผู้บริหารมีความสำคัญมาก ท่านเชื่อมั่นว่าการศึกษาไม่ควรถูกจำกัดเพียงแค่อยู่ในห้องเรียนหรือเอาเวลาเรียนมาเป็นขอบเขตเดียว


บริบทพื้นที่: ชนบทห่างไกลที่ฝันดูจะบางตา
คุณครูพอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่า บริบทของพื้นที่รอบโรงเรียนเป็นอย่างไร? เด็กส่วนใหญ่มาจากครอบครัวแบบไหน?
โรงเรียนมหาราช 7 ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดราชบุรีประมาณ 60 กิโลเมตร และห่างจากตัวอำเภอจอมบึงอีก 25 กิโลเมตร เราดูแลครอบคลุมนักเรียนจาก 2 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชนบทที่ผู้คนประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกข้าว ทำสวนยาง ปลูกทุเรียน หรือรับจ้างทั่วไป
ครอบครัวของเด็กส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง หลายครอบครัวมีหนี้สิน ผู้ปกครองต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ บางครอบครัวมีปัญหาเรื่องสารเสพติดหรือเหล้า สภาพแบบนี้ส่งผลต่อเด็กโดยตรง พวกเขาต้องแบกรับภาระที่หนักกว่าวัย


อุปสรรคหลักๆ ที่ทำให้เด็กต้องหลุดออกจากระบบคืออะไร?
มีหลายปัจจัยที่ทับซ้อนกัน อันดับแรกคือความยากจน เด็กต้องออกไปทำงานหาเงินช่วยครอบครัว อันที่สองคือภาระครอบครัว เด็กต้องดูแลพ่อแม่ที่ป่วยหรือดูแลน้อง อันที่สามคือปัญหาการเรียนรู้ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการตั้งครรภ์ การย้ายถิ่นฐานตามพ่อแม่ไปทำงาน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา บางครอบครัวมองไม่เห็นว่าถ้าเรียนหนังสือแล้วจะได้อะไร เพราะชีวิตประจำวันต้องหาเช้ากินค่ำ การศึกษาจึงไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วนเท่ากับการมีเงินใช้วันนี้
เคสจริงน้องหน่อย: เมื่อครูเปิดหัวใจเด็กได้ โอกาสชีวิตเด็กก็เปิดกว้าง
ครั้งที่แล้วเราได้คุยกับน้องหน่อย ที่จบชั้น ม.3 จากโรงเรียนมหาราช 7 เพราะได้รับโอกาสให้เรียนผ่านการศึกษายืดหยุ่น คุณครูช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่า น้องหน่อยเจอปัญหาอะไร และครูเริ่มสังเกตเห็นตอนไหน?
น้องหน่อย-สุพรรณวดี เจเถือน เป็นหนึ่งในเด็กที่เกือบหลุดออกจากระบบ แม่ของน้องป่วยเป็นมะเร็ง พ่อทำงานขับรถหารายได้แต่ก็มีปัญหาข้อเสื่อม น้องจึงต้องหยุดเรียนมาดูแลแม่
เราเริ่มสังเกตเห็นตอนที่น้องไม่ได้มาเรียนนานๆ เราก็ไปเยี่ยมบ้านและคุยกับแม่ของน้อง ตอนนั้นน้องบอกว่าคิดว่าตัวเองไม่มีโอกาสเรียนต่อแล้ว
การเยี่ยมบ้านครั้งนั้นไม่ใช่แค่การไปดูหน้าแล้วกลับ แต่เราต้องนั่งคุยกับครอบครัว ฟังเรื่องราว ฟังความกลัว ฟังความหมดหวัง เราเข้าใจว่าน้องไม่ได้ไม่อยากเรียน แต่สถานการณ์ชีวิตเขาไม่เอื้อให้เรียนแบบปกติได้

แล้วโรงเรียนมหาราช 7 ช่วยเหลือน้องหน่อยอย่างไร?
เราไม่สามารถบังคับให้น้องกลับเข้ามาเรียนแบบปกติได้ถ้าสถานการณ์ชีวิตเขาไม่เอื้ออำนวย แต่เราสามารถหาทางให้การศึกษามันยืดหยุ่นพอที่จะเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาได้
โรงเรียนจึงนำน้องเข้าสู่ระบบการศึกษายืดหยุ่น ไม่มีค่าบำรุงการศึกษา เราจัดการค่าเครื่องแบบและอุปกรณ์การเรียนให้ทั้งหมด โดยมีข้อตกลงเพียงอย่างเดียวคือน้องต้องเรียนให้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
น้องสามารถเรียนออนไลน์ได้ ครูส่งใบงานให้ทำ สลับกับการเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนบางครั้ง ทำให้น้องสามารถดูแลแม่และเรียนหนังสือไปพร้อมกันได้
เมื่อน้องจบมัธยมปลาย โอกาสก็เปิดกว้างขึ้น ทางโรงเรียนอนันตรักษ์การบริบาลมาออกบูธแนะแนวการศึกษาต่อที่โรงเรียน น้องอยากเรียนต่อมาก เราก็ช่วยประสานงานจนน้องได้รับทุนจาก กสศ. ไปเรียนต่อด้านการบริบาล ตอนนี้น้องกำลังฝึกงานที่โรงพยาบาลหัวหิน


การศึกษายืดหยุ่นมีผลต่อชีวิตน้องหน่อยแค่ไหน? ครูรู้สึกอย่างไร?
มันมีผลมากจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำให้เด็กคนหนึ่งผ่านชั้นเรียน แต่มันคือการเปิดโลกใบใหม่ให้เขา จากเด็กที่เคยคิดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก ไม่มีอนาคต พอได้เห็นว่าการศึกษายังมีพื้นที่รองรับเขา เขาก็เริ่มเห็นความหวัง เริ่มมีเป้าหมายในชีวิต
ในมุมของครู ครูรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งในความสุขที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นครู คือการได้เห็นเด็กที่เกือบสูญเสียโอกาสไปตลอดกาล แต่แล้วกลับมามีอนาคตที่สดใสได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้เราไม่เหนื่อย
ความท้าทายและเสียงวิจารณ์: เมื่อสังคมยังไม่คุ้นเคยกับการศึกษายืดหยุ่น
ในมุมมองของคุณครูในฐานะผู้นำการศึกษายืดหยุ่นมาใช้จริงจนเกิดผล คิดว่าความท้าทายในการจัดการศึกษายืดหยุ่นคืออะไร?
เรื่องแรกคือการบริหารจัดการเวลา หนึ่งวันที่เรามีมันไม่ได้ครอบคลุมทุกคน เรามีเด็กหลุดหลายคน ครูในโรงเรียนของเราต้องประคับประคองเด็กในระบบไม่ให้หลุด พร้อมกับดึงเด็กที่หลุดแล้วกลับเข้ามา ต้องเป็นทั้งครูแนะแนว ผู้ประสานงาน นักสังคมสงเคราะห์ และที่ปรึกษา ต้องลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน ต้องประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ และต้องออกแบบแผนการเรียนรู้ที่เหมาะกับเด็กแต่ละคน

ได้รับเสียงวิจารณ์จากชุมชนหรือสังคมบ้างไหม?
มีบ้าง บางคนคิดว่าเราแค่ให้เด็กผ่าน ไม่ได้เรียนจริง บางคนมองว่าเสียมาตรฐาน บางคนกังวลว่าเด็กจะเรียนไม่เท่าเพื่อน ครูเข้าใจนะ เพราะมันเป็นเรื่องใหม่ และคนเรามักจะกังวลกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เราอธิบายอย่างต่อเนื่องว่า การศึกษายืดหยุ่นไม่ใช่การลดมาตรฐาน แต่เป็นการปรับวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับบริบทของเด็กแต่ละคน เนื้อหาและตัวชี้วัดยังคงเดิม เพียงแต่วิธีการเรียนและการวัดผลที่ยืดหยุ่นขึ้น
และเราแสดงผลลัพธ์จริงให้เห็น เด็กที่เรียนแบบนี้สอบได้ เรียนต่อได้ มีทักษะในการใช้ชีวิตจริง บางทีมีทักษะมากกว่าเด็กที่เรียนในห้องเรียนอย่างเดียวด้วยซ้ำ เพราะเขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
เมื่อเวลาผ่านไป ความเข้าใจก็เริ่มเกิดขึ้น ตอนนี้ผู้ปกครองหลายคนเริ่มมาปรึกษาเองว่าลูกเขามีปัญหาแบบนี้แบบนั้น มีวิธีไหนช่วยได้บ้าง นี่แสดงว่าพวกเขาเริ่มเชื่อใจและเห็นคุณค่าของการศึกษายืดหยุ่น

สูตรความสำเร็จ: ไม่มีสูตร มีแต่ความตั้งใจ
ปัจจัยอะไรที่ทำให้โรงเรียนมหาราช 7 จัดการศึกษายืดหยุ่นได้ค่อนข้างดี?
มันไม่ใช่เรื่องของทรัพยากรหรืองบประมาณมากมาย แต่เป็นเรื่องของการมีใจที่แน่วแน่และระบบสนับสนุนที่ดี
อันดับแรก ผู้บริหารต้องเปิดกว้างและให้การสนับสนุน
สอง ครูต้องมีความตั้งใจและยินดีที่จะลงพื้นที่ติดตามเด็ก
สาม ชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม
และอันที่สี่ ต้องมีภาคีเครือข่ายที่คอยช่วยเหลือในส่วนที่โรงเรียนทำเองไม่ได้ ต้องขอขอบคุณ กสศ. เป็นพิเศษ ถ้าไม่มี กสศ. เราคงทำไม่ได้ครบวงจรขนาดนี้ นอกจากทรัพยากรทุน กสศ. ยังให้ความรู้ ให้แนวทาง และคอยติดตามผลอย่างใกล้ชิด
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจชีวิตของเด็ก ถ้าเราไม่ลงพื้นที่ ไม่คุยกับเด็กและครอบครัวจริงๆ เราก็จะไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ปัญหาของเขาคืออะไร และเราจะช่วยเขาได้อย่างไร การออกแบบการศึกษายืดหยุ่นที่ดีต้องเริ่มจากการเข้าใจชีวิตของเด็กเป็นอันดับแรก

การปรับสู่การศึกษายืดหยุ่นต้องใช้ทรัพยากรเยอะไหม?
ไม่ต้องใช้งบประมาณเยอะ ที่ต้องใช้มากกว่าคือเวลาและความตั้งใจของครู การบริหารจัดการที่ดี และการประสานงานกับภาคีต่างๆ
เราไม่ได้สร้างอะไรใหม่ทั้งหมด แต่เราปรับวิธีการใช้สิ่งที่มีอยู่ให้ตอบโจทย์เด็กมากขึ้น เราไม่ได้สร้างโรงเรียนใหม่ให้เด็ก แต่เราปรับให้ชีวิตประจำวันของเด็กกลายเป็นห้องเรียน
สิ่งที่ต้องลงทุนจริงๆ คือเวลาในการติดตาม ความอดทน และความมุ่งมั่น ถ้าอยากทำ โรงเรียนไหนก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้มีงบประมาณหลายล้าน แค่เริ่มจากการไปเยี่ยมบ้านเด็กคนหนึ่ง ไปคุยกับครอบครัว ไปเข้าใจปัญหา แล้วคิดหาทางช่วย นั่นคือจุดเริ่มต้น
What If: ถ้าทุกโรงเรียนทำได้
ถ้าโรงเรียนทุกโรงเรียนในไทยสามารถจัดการศึกษายืดหยุ่นได้ คุณครูคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
ถ้าโรงเรียนทุกโรงเรียนจัดการศึกษาแบบนี้ได้จริง เด็กที่มีปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ต้องช่วยเหลือครอบครัว เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เด็กตั้งครรภ์ หรือเด็กที่ต้องย้ายถิ่นฐานบ่อย จะสามารถเรียนต่อได้โดยไม่ขาดตอนระหว่างทาง
โรงเรียนจะกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาส มากกว่าจะเป็นสนามแข่งขัน เด็กที่เคยถูกมองว่าเรียนไม่ทันเพื่อนจะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะเขาได้เรียนรู้ในวิถีชีวิตจริงของเขาโดยไม่ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น
ครูก็จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้กลายมาเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ ผู้ดูแล ที่คอยเอื้ออาทรและให้คำปรึกษา ครูจะเข้าใจชีวิตเด็กมากขึ้นผ่านการลงพื้นที่และพูดคุยเชิงลึก

ชุมชนและสถานประกอบการจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เป็นพื้นที่เรียนรู้ เป็นแหล่งงาน และโรงเรียนก็ไม่ใช่เจ้าของการศึกษาฝ่ายเดียว แต่เป็นศูนย์ประสานความร่วมมือ
ที่สำคัญที่สุด เด็กที่เคยหลุดออกจากระบบจะสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้โดยไม่รู้สึกอาย เด็กจะมีพื้นที่ปลอดภัย ระบบการศึกษาไทยจะมีความเป็นธรรมและความเท่าเทียมเพิ่มมากขึ้น
ถ้าโรงเรียนทุกโรงเรียนจัดการศึกษาแบบนี้ได้จริง การศึกษาก็จะกลับมาเป็นของทุกคน ไม่ใช่เป็นแค่ของใครบางคน ประเทศไทยจะได้พลเมืองรุ่นใหม่ที่เข้าใจชีวิต มีเป้าหมายที่ชัดเจน เด็กที่ตกหล่นหรือหลุดจะมีแรงบันดาลใจ และเราจะพิสูจน์ได้ว่า ระบบการศึกษาแบบเปิดโอกาสทำให้เด็กทุกคนสามารถเติบโตและมีอนาคตได้จริงๆ
ครูจรรยวรรธน์ ผิวเกลี้ยง กล่าวปิดท้ายด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความหวัง

| โรงเรียนมหาราช 7 จ.ราชบุรี เริ่มขับเคลื่อนระบบ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” อย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปีการศึกษา 2566 เพื่อรองรับผู้เรียนที่ไม่สามารถเข้าเรียนตามตารางปกติได้ ด้วยการเปิดทางเลือกให้เรียนออนไลน์ เทียบโอนประสบการณ์ชีวิตและการทำงานเป็นหน่วยกิต รวมถึงปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่นตามบริบทของผู้เรียนแต่ละคน แนวทางนี้ช่วยให้เด็กยังคงเดินหน้าการเรียนได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถต่อยอดสู่ระดับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขชีวิตที่ควบคุมไม่ได้ หากโรงเรียนหรือครูต้องการข้อมูล หรือคำแนะนำเชิงปฏิบัติในการจัดการศึกษายืดหยุ่น สามารถปรึกษาแบบตัวต่อตัวได้ที่ LINE OA กสศ.การศึกษายืดหยุ่น คลิก |