กสศ. นำเสนอนวัตกรรม “ครูรัก(ษ์)ถิ่น” บนเวที UNESCO ระดับโลก 2025 IIEP Strategic Debates

กสศ. นำเสนอนวัตกรรม “ครูรัก(ษ์)ถิ่น” บนเวที UNESCO ระดับโลก 2025 IIEP Strategic Debates

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เข้าร่วมเสวนาเชิงกลยุทธ์ในหัวข้อ “Strategic Debate: Reducing the teacher gap and planning for equitable teaching” ในเวที 2025 IIEP Strategic Debates จัดโดย UNESCO International Institute of Educational Planning (IIEP) หน่วยงานที่พัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านการศึกษาทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทั้งนี้ได้มีวิทยากรร่วมเสวนา ได้แก่ Gregory Elacqua นักเศรษฐศาสตร์ด้านการศึกษา (IDB), Hellen Inyega ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน (ADEA), Dhir Jhingran ผู้อำนวยการ Language and Learning Foundation, และ Barbara Tournier ผู้เชี่ยวชาญจาก IIEP-UNESCO โดยมี Martín Benavides ผู้อำนวยการ IIEP-UNESCO เป็นผู้ดำเนินรายการ

การเสวนามุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการแก้ปัญหาช่องว่างด้านจำนวนและคุณภาพครู รวมถึงการวางแผนระบบการเรียนและการสอน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพครูในระดับสากล ทั้งนี้ ดร.ไกรยส ได้นำเสนอและแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาการขาดแคลนครูในพื้นที่ห่างไกล ด้วยวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจมากกว่าสิบปีกับการวางแผนแบบองค์รวมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสถาบันการศึกษา เพื่อกำหนดการผลิตครูให้ได้จำนวนที่ตอบโจทย์กับความต้องการของแต่ละชุมชน โดย กสศ. จะร่วมออกแบบการทำงานกับมหาวิทยาลัย เพื่อให้ครูรัก(ษ์) ถิ่น รุ่นใหม่ได้กลับไปบ้านเกิดเพื่อไปพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง ตลอดจนการสอนเด็ก ๆ ในชุมชน  

โครงการ “ครูรัก(ษ์)ถิ่น (Homegrown Teachers Scholarship Program)” ดำเนินการขึ้นเพื่อลดช่องว่างจำนวนครูในพื้นที่ห่างไกลของประเทศไทย ด้วยคุณภาพของการเรียนการสอนและปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของโรงเรียน 28,000 แห่งทั่วประเทศ และมี 1,183 แห่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น บนเกาะ ทางภาคเหนือ บนยอดเขา หรือที่ห่างไกลจากเขตเมือง

ดร.ไกรยส กล่าวว่า โรงเรียนลักษณะนี้ เด็กๆ มักจะได้คะแนนต่ำในการประเมินทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น PISA หรือแบบทดสอบมาตรฐานของไทย โรงเรียนแบบนี้มีครูน้อยกว่าหนึ่งคนต่อห้องเรียน ซึ่งถือเป็นปัญหาที่รุนแรงและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน 

“เมื่อเราพูดถึงปัญหาการขาดแคลนครู โรงเรียนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่เสี่ยงภัยหรือพื้นที่ชายแดนของไทย หลายครั้งมาพร้อมกับข้อจำกัดทางภาษา พวกเขาต้องการการศึกษาที่รองรับภาษาถิ่น พวกเขาต้องการการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานหรือทรัพยากรที่ดีขึ้น คุณครูที่กลับมาสอนที่ชุมชนบ้านเกิด พวกเขาพูดภาษาถิ่น พวกเขารู้ประวัติศาสตร์ของตัวเอง นี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้มั่นใจว่าแต่ละโรงเรียนไม่เพียงมีจำนวนครูเพิ่มขึ้น แต่จะได้รับการส่วนร่วมจากชุมชนด้วย” 

โครงการนี้ดำเนินด้วยความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการศึกษาระดับชุมชนในภูมิภาคในระยะยาว ระดับความยากจนของเด็กที่เติบโตในครอบครัวมีรายได้น้อยกว่า 2 ดอลลาร์ต่อวัน หากเด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้หลุดจากระบบการศึกษาและเข้าร่วมโครงการจนได้เป็นครู พวกเขาจะหลุดพ้นจากกับดักความยากจน 

กสศ. ดำเนินโครงการนี้มาเป็นเวลา 5 ปี มอบทุนการศึกษามากกว่า 1,500 ทุน และจะดำเนินการต่อไปในระยะที่ 2 ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยมุ่งเน้นไปที่โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียน การศึกษาพิเศษ และสถาบันการศึกษานอกระบบเป็นหลักในอนาคต

5 กุญแจสู่ความสำเร็จของโครงการ
การวางแผนระยะยาว: คาดการณ์ความต้องการครูสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กเป็นระยะเวลา 10 ปี และกำหนดโควตาสำหรับการสร้างครูร่วมกับมหาวิทยาลัยระบุแนวทางการศึกษาร่วมกัน: พัฒนาหลักสูตรที่ปรับให้เหมาะสมกับความต้องการทางวัฒนธรรมและบริบทเฉพาะของชุมชนที่หลากหลายทั่วประเทศไทยความมุ่งมั่นของสถาบัน: ความมุ่งมั่นและการมีส่วนร่วมในระยะยาวจากสถาบันศึกษากับชุมชนห่างไกล พัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นการเรียนรู้ที่แท้จริง: บูรณาการประสบการณ์การสอนเชิงปฏิบัติในชุมชนตั้งแต่เริ่มของกระบวนการฝึกอบรมความร่วมมือในท้องถิ่น: ส่งเสริมความร่วมมือระยะยาวระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียนในท้องถิ่น โดยขับเคลื่อนด้วยความรับผิดชอบร่วมกันในการเสริมสร้างศักยภาพและเปลี่ยนแปลงชุมชน

โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการทำงานเชิงบูรณาการจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม ในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และสร้างครูที่เข้าใจบริบทชุมชนของตนเองอย่างแท้จริง ดร.ไกรยส สรุปสิ่งสำคัญที่สุดจากโครงการนี้คือ ความสามารถในการคาดการณ์ถึงอนาคตว่าต้องการครูจำนวนเท่าใดในโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่ห่างไกลในอีก 10 ปีข้างหน้า และบ่มเพาะครูรุ่นใหม่ผ่านระบบการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยในอีก 10 ปีข้างหน้า