กสศ.มุ่งผลลัพธ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างความเสมอภาค

กสศ.มุ่งผลลัพธ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างความเสมอภาค

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการฯ

วันนี้ (23 ส.ค.) ที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง กรุงเทพฯ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดประชุมปฏิบัติการการสนับสนุนการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 23-24 สิงหาคม 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจถึงกรอบการดำเนินงานของโครงการบริหารจัดการชุดโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 ซึ่งมีจำนวน 11 เครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มูลนิธิลำปลายมาศ มูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม มหาวิทยาลัยนเรศวร มรภ.กาญจนบุรี มรภ.ภูเก็ต มูลนิธิรัฐบุรุษพลเอกเปรม มูลนิธิสยามกัมมาจล และสพป.1 สุรินทร์ โดยมีโรงเรียนขนาดกลางเข้าร่วมพัฒนาตนเองทั้งสิ้น 733 แห่ง

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง กล่าวนำถึงแนวคิดโรงเรียนพัฒนาตนเอง ว่า โครงการพัฒนาครูและโรงเรียน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยขอเรียกชื่อโดยย่อว่า “โรงเรียนพัฒนาตนเอง” 

หัวใจของโครงการนี้ คือการยกระดับคุณภาพการศึกษา ให้กับกลุ่มเด็กด้อยโอกาส ภายใต้เป้าหมายความตั้งใจของ กสศ.ที่ให้โอกาสและสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ดังนั้น การทำงานของโครงการฯ ที่ได้เครือข่ายมาร่วมกันทำให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาตนเองของโรงเรียนด้วยตัวของโรงเรียนเอง จึงมีข้อสังเกตุใน 3 ประเด็น

  1. คุณค่าของโครงการ
  2. ฐานและเป้าของปฏิบัติการคือโรงเรียน
  3. การสนับสนุน เพื่อเป็นแนวทางที่จะนไปสู่ความสำเร็จ

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวลงลึกถึงคุณค่าของโครงการฯ ว่า คุณค่าที่โครงการนี้ต้องสร้างให้เกิดขึ้น คือ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กที่มาจากครอบครัวด้อยโอกาส และสร้างศักดิ์ศรีครู ให้กับครูที่มีวิญญาณทำเพื่อศิษย์ เพราะครูที่มีวิญญาณนักเรียนรับรู้ได้ ซึ่งโรงเรียนจะพัฒนาครูและผู้บริหารด้วยกระบวนการ Q-PLC โดยการจะปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จ ต้องพัฒนาจากฐาน

ทั้งนี้ ฐานในการพัฒนาสิ่งสำคัญต้องมีการปฏิรูปการเรียนรู้ ถ่ายทอดและสร้างให้นักเรียนมีจริตเรื่องการแบ่งปันช่วยเหลือคนอื่นจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ในชั้นเรียน ซึ่งโรงเรียนใช้เทคโนโลยีช่วยลดภาระตรงนี้ได้

ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นข้อสังเกตุที่สองฐานและเป้าของปฏิบัติการคือโรงเรียนพัฒนาตนเอง ที่มาร่วมกันพัฒนาโรงเรียนด้วยความสมัครใจ มีแรงบันดาลใจที่อยากจะให้โรงเรียนพัฒนาตนเอง ด้วยความตั้งใจ ซึ่งทีมโค้ช หรือพี่เลี้ยงที่มาจากเครือข่ายทั้ง 11 แห่ง ทำหน้าที่เข้าไปช่วย อย่าเข้าไปเพื่อสอนไปชี้แนะให้ทำตามรูปแบบความคิดของตนเอง แต่โครงการต้องทำให้โรงเรียนเป็น “ชุมชนเรียนรู้” (Learning Community) ให้ครูเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเรียนรู้ ทำงานร่วมกับผู้อำนวยการ และครูคนอื่นๆ และต้องเป็น “ศูนย์เรียนรู้”  ให้แก่ ผู้อำนวยการ ครู นักเรียน พ่อแม่ ผู้นำชุมชน เขตพื้นที่การศึกษา กระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

นอกจากนั้น โรงเรียนต้องเป็นเครือข่าย ในความหมายโรงเรียนในฐานะเป็นชุมชนเรียนรู้ จึงต้องเป็นโรงเรียนที่เรียนรู้ (Learning Organization) และที่สำคัญที่สุดของการเป็น Whole School Approach โรงเรียนต้องมีระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ด้วย

ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการฯ กล่าวถึงประเด็นสุดท้ายว่า การสนับสนุนจากโครงการต่อการพัฒนาโรงเรียน พี่เลี้ยงหรือโค้ช (Q-Coach) ต้องไม่ใช่เจ้าสำนัก เป็นการทำงานในลักษณะสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกัน (Q-Network) โดยนำระบบ IT (Q-Info) มาเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน  เพื่อให้โรงเรียนทำงานง่ายขึ้น หนุนเสริมเด็กได้มากขึ้น ซึ่งโครงการในรุ่นที่ 2 นี้ จะมีระบบประเมินเพื่อพัฒนานักเรียน (Q-Classroom) ในลักษณะ Formative Assessment) โดยจะมีทีม TDRI เข้ามาช่วย พร้อมทั้งจะนำรูปแบบการประเมินเพื่อหนุนการพัฒนาโรงเรียน (DE – Developmental Evaluation) เพื่อหนุนการเรียนรู้ของภาคี ในครั้งนี้ด้วย

“การประชุมใน 2 วันนี้ เพื่อการเตรียมการดำเนินงานโครงการในรุ่นที่ 2 โดยการนำทีมโค้ชทั้ง 2 รุ่น มาทำงานร่วมกัน จากการทำงานมา 1 ปี เกิดการเรียนรู้สูงมากมีกำลังใจที่เชื่อได้ว่าการศึกษาไทย จะไม่สิ้นหวัง สามารถที่จะเดินหน้าพัฒนาต่อไปได้ โดยตัวขับเคลื่อนคือโรงเรียน ซึ่งมีครูเป็นตัวตั้ง ดังนั้น เมื่อเกิดการทำงานร่วมกันทั้งโครงการรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 จะเกิดการเรียนรู้ข้ามเครือข่ายทั้งวิธีบริหารจัดการ เทคนิคที่ดีที่ทำให้โรงเรียนใช้แล้วสนุก ฉะนั้น จุดแข็งที่เป็นความงดงามเรื่องหนึ่งคือโค้ชมีความแตกต่างหลากหลายทั้งวิธีการคิดและเป้าหมาย จึงหวังว่า โรงเรียน  733 แห่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดกลาง 10% ที่ดูแลเด็กค่อนข้างด้อยโอกาสจะเปลี่ยนโฉมการศึกษาของเด็ก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทั้ง 100% โดยร่วมกันหารูปแบบของการเรียนที่ทำให้เด็กของเราครบเครื่อง เป็นพลเมืองที่มีพลัง มีความสามารถของประเทศไทย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหัวใจของการพัฒนาอยู่ที่โรงเรียน ครู และผู้บริหาร” ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าว