เปิดชีวิต ‘น้องแดง’ เจ้าของ ‘จดหมายลาครู’ บนผนังตึก

เปิดชีวิต ‘น้องแดง’ เจ้าของ ‘จดหมายลาครู’ บนผนังตึก

หลังจากจดหมายลาครูหลายฉบับ ถูกศิลปินนำไปขยายสู่ภาพกราฟฟิตี้ขนาดใหญ่เต็มผนังตึก สร้างความสนใจให้ประชาชนทั่วไป ที่เดินผ่านไปผ่านมาย่านสะพานหัวช้าง กทม. พร้อมทั้งคลิปวิดีโอเบื้องหลัง กลายเป็นไวรัลในสังคมออนไลน์ ส่งผลให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า เจ้าของจดหมายน้อยฉบับนี้ คือใคร จึงนับเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้รู้จักตัวตนของเจ้าของจดหมายได้ใกล้ชิดขึ้น

อาจเป็นเพราะต้องเริ่มต้นวัยทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ ส่วนใหญ่เป็นงานที่เด็กพอที่จะลงมือทำได้ อย่างรับจ้างเก็บผลผลิตทางการเกษตร วัยเด็กของ ด.ช.พงศกร อาสาพิทักษ์ไพร หรือ ‘น้องแดง’ นักเรียนโรงเรียนบ้านนาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยม 2 จึงอาจจะแตกต่างจากเด็กในวัยเรียนคนอื่น ๆ แน่นอนงานที่ต้องทำนั้นส่งกระทบต่อการเรียนเพราะหยุดเรียนไปนานนับสัปดาห์เพื่อไปรับจ้างเก็บลำไย แลกค่าตอบแทน 200-300 บาทต่อวัน และเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนเงินที่ได้นำไปจุนเจือครอบครัว และดูแลแม่ในวัย 50 ปี พักอยู่บ้านเพียงคนเดียว ส่วนพ่อเสียชีวิตได้หลายปีแล้ว ขณะที่พี่ชาย 2 คนเลือกชีวิตไปทำงานต่างจังหวัด

ในช่วงเดือน มิ.ย. เป็นช่วงเวลาแห่งโอกาส ‘น้องแดง’ จะเดินทางจากบนดอย อ.อมก๋อย ลงไป อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ไปรับจ้างเก็บลำไยตามสวนที่ได้รับว่าจ้าง ช่วยเก็บเท่าที่ทำไหว ตามกำลัง เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะแบกภาระนี้ได้ เหตุผลทางการเงินทำให้ต้องตัดสินใจขาดเรียน บางครั้งครูก็ต้องออกตามกลับไปเรียนหนังสือ

ด.ช.พงศกร เล่าให้ฟังว่า ตอนเรียน ป.6 และ ม.1 ต้องไปรับจ้างเก็บลำไยขาดเรียนอยู่เป็นประจำ จนครูต้องมาตามผมถึงสวนลำไยให้ไปเรียนหนังสือต่อ ตอนนั้นครอบครัวไม่มีเงินไม่มีรายได้ คิดว่าต้องช่วยแม่ช่วยครอบครัว เลยตัดสินใจไปรับจ้างเก็บลำไยยอมขาดเรียนหลายวัน

“พอจบ ป.6 จากโรงเรียนบ้านใบหนา ตัดสินใจไม่เรียนต่อตั้งใจหางานทำหาเงินมาดูแลครอบครัว และไม่ยากเรียนต่อ ทั้งการเดินทางลำบาก และไม่มีใครดูแลแม่ โชคดีครูบอย (นพรัตน์ เจริญผล) มานั่งคุยขอให้ผมไปเรียนต่อที่โรงเรียนบ้านนาเกียน ห่างจากบ้านไปประมาณ 10 กิโลเมตร รวมไปกลับเฉลี่ย 20 กิโลเมตร ใช้เวลากว่า 2-3 ชั่วโมง ถ้าใช้รถยนต์แค่ 30 นาทีถึงที่หมาย วันนั้นถึงวันนี้ ซึ่งปัจจุบันตอนนี้ผมเรียนถึงชั้น ม.2 แล้วขอบครูบอยมากๆผมสัญญาอย่างน้อยจะเรียนให้จบถึง ม.6” น้องแดง เผยความรู้สึก

เส้นทางระหว่างบ้านพักไปโรงเรียนบ้านนาเกียนมีแต่ดินลูกรัง ยิ่งหน้าฝนต้องลุยโคลน ไม่มีรถรับส่งอาศัยเดินไปกับเพื่อน 6-7 คนอยู่นานนับ ตอนนี้ตัดสินใจนอนพักอยู่โรงเรียนแทนการเดินกลับบ้าน แต่ทุกวันศุกร์แดงจะกลับบ้านไปหาแม่ จากนั้นช่วงสายๆวันอาทิตย์จะเดินกลับไปโรงเรียนเหมือนเดิม
ด.ช.พงศกร บอกอย่างคุ้นชินว่า บ้านที่อยู่ไม่น้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า จุดตะเกียงแทน พอตกเย็นทุกคนในหมู่บ้านเข้านอนกันหมด บ้านไหนดีหน่อยมีแผงโซลาร์เซลล์สามารถไปอาศัยดูทีวีได้ เด็ก ๆ ทุกคนในหมู่บ้านจะไปร่วมตัวกันที่บ้านหลังนั้นเพื่อดูทีวีกัน แต่ถ้าหน้าฝนแดดน้อย หมู่บ้านจะมืดสนิท

“ที่บ้านไม่มีห้องนอนดีๆเหมือนคนอื่น กินนอนอยู่ข้างเตา กับข้าวที่กินอยู่ประจำเป็นน้ำพริกดำจิ้มกับผักกาดแกล้มอร่อยมาก พวกมาม่าปลากระป๋องนาน ๆ ได้กินสักครั้ง อย่างชุดนักเรียนมีแค่ 2 ตัวใส่วนไปวนมาอยู่แบบนี้ กระเป๋านักเรียนมีคนบริจาคมาให้ไม่มีเงินไปซื้อหรอกครับ”

ทุกสัปดาห์ไหนที่กลับมาบ้านต้องมาช่วยแม่เลี้ยงหมู ให้อาหารหมูเช้า-เย็น รดน้ำผักหลังบ้านที่ปลูกไว้กิน ล้างจาน หุงข้าว งานบ้านทุกอย่างจะช่วยแบกเบาภาระของแม่ให้น้อยที่สุด ยามว่างเว้นงานบ้านตอนเย็น ๆ จะเตะฟุตบอลกับเพื่อนที่สนามดินลูกรังของโรงเรียนบ้านใบหนา น้องแดง มีทีมฟุตบอลทีมโปรดคือ ‘ลิเวอร์พูล’ ชื่นชอบนักเตะฝีแข้งดีอย่าง ซาดีโย มาเน อนาคตเขาใฝ่ฝันถ้ามีโอกาสอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนนักฟุตบอลชื่อดังหลาย ๆ คน

“ตอนนี้ผมโชคดีได้ทุนการศึกษาของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คิดว่าเงินที่ได้จะเอาไปซื้อข้าวกินใช้จ่ายในครอบครัว และไม่ต้องไปทำงานเก็บลำไยจนขาดเรียนเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ดีใจมาก ๆ ไม่รู้จะพูดยังไง” น้องแดง สารภาพความรู้สึก

แม้อยู่ห่างไกลสักแค่ไหน แต่โอกาสทางการศึกษายังคงมุ่งไปหาเด็กๆทุกคน เหมือนเช่น ‘น้องแดง’ ที่วันนี้ได้ทุนการศึกษาในโครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนแบบมีเงื่อนไข หรือทุนเสมอภาค จากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ไปช่วยเปิดโลกใบใหม่ ไม่ต้องไปรับจ้างเก็บลำไย เอาเวลาและกำลังไปทุ่มเทศึกษาเล่าเรียนเพื่ออนาคตต่อไป

#ครูฮีโร่ #จดหมายลาครู #กสศเปิดประตูสู่โอกาส #คืนน้องสู่ห้องเรียน