กสศ. นำเสนอผลลัพธ์ Thailand Zero Dropout ในเวทีสมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 3 ชูการศึกษาที่ยืดหยุ่น พาเด็กเยาวชนกลับสู่การเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม

กสศ. นำเสนอผลลัพธ์ Thailand Zero Dropout ในเวทีสมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 3 ชูการศึกษาที่ยืดหยุ่น พาเด็กเยาวชนกลับสู่การเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เข้าร่วมการประชุม สมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 3 (3rd National Education Assembly) ภายใต้แนวคิด “Future Learn Future Earn: เรียนรู้เพื่อก้าวสู่อนาคต” จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา, ดร.นิติ นาชิต รองเลขาธิการสภาการศึกษา และผู้แทนภาคีเครือข่ายสมัชชา สภาการศึกษาจังหวัด ผู้แทนจากองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคการศึกษา ภาคศาสนา รวมกว่า 800 คน จาก 4 ภูมิภาค เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

ภายในงานได้มีพิธีมอบ เกียรติบัตร “รางวัลสมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติ” ประจำปี 2568 (National Education Assembly Award) ให้แก่ภาคีจาก 15 จังหวัด ที่เป็นต้นแบบในการพัฒนาการศึกษาเชิงพื้นที่อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

จากนั้น ภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันแสดงสัญลักษณ์พลังความร่วมมือ “สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา” (All for Education) และร่วมรับรอง มติสมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 3 ซึ่งมีสาระสำคัญ 2 ประการ ได้แก่:

  1. การสร้างการเรียนรู้เพื่อสร้างรายได้ (Learn to Earn) พัฒนาหลักสูตรระยะสั้นที่ตอบสนองความถนัดและความสนใจของผู้เรียน ควบคู่กับการสร้างช่องทางและฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  2. ระบบนิเวศการเรียนรู้ (Learning Ecosystem) กำหนด “เมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต” เป็น วาระแห่งชาติ พร้อมบูรณาการภารกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้สำหรับทุกคน

ในโอกาสนี้ กสศ. ได้นำเสนอเส้นทางและประสบการณ์จากการดำเนินงาน Thailand Zero Dropout ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านนิทรรศการ “เปิดประตูสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ซึ่งนำเสนอแนวคิดการปรับระบบการศึกษาให้ ยืดหยุ่น หลากหลาย และเข้าถึงได้ เพื่อตอบโจทย์ความแตกต่างด้านศักยภาพและเงื่อนไขชีวิตของเด็กเยาวชนทุกกลุ่ม

นอกจากนี้ กสศ. ยังเข้าร่วมเวทีเสวนา “Talk to Transform: พลังเล็ก เปลี่ยนเมืองใหญ่” (Small Sparks, Big Shifts) ในหัวข้อ “การเรียนรู้ที่ไม่ติดกรอบ สู่โอกาสที่ไม่จำกัด” เพื่อนำเสนอ “ผลลัพธ์จากการทำงานที่มีชีวิต” ผ่านเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของเด็กและเยาวชนที่สามารถกลับเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ได้จริง จากการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น มีทางเลือก และตอบโจทย์ชีวิตอย่างแท้จริง

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Flexible Education การศึกษายืดหยุ่นตอบโจทย์ความหลากหลายของพื้นที่” ว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและแผนขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้วางนโยบายสำคัญด้านการปฏิรูปการศึกษา เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในอนาคต

รมว.ศธ. กล่าวต่อว่า แนวคิด Flexible Education จะเป็นกลไกสำคัญในการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และตอบสนองต่อความแตกต่างและความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่ได้อย่างแท้จริง โดยมีลักษณะสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่

  1. ยืดหยุ่นด้านเวลา (Flexible Time)
  2. ยืดหยุ่นด้านสถานที่ (Flexible Place)
  3. ยืดหยุ่นด้านรูปแบบการเรียนรู้ (Flexible Learning Pathways)
  4. ยืดหยุ่นด้านการวัดผล (Flexible Assessment)

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล เชื่อว่าการประชุมสมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติอย่างต่อเนื่อง จะเป็นเวทีสำคัญในการสะท้อน “เสียงจากพื้นที่” และต่อยอดเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและสังคม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมสนับสนุนให้ทุกข้อคิดเห็นและแนวทางการทำงานที่เกิดขึ้นสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่าการประชุมสมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 3 ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาไทยสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ผ่านกลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และมีเด็กเยาวชนจำนวนหนึ่งที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิตได้

สภาการศึกษาจึงมองว่า “การสร้างกลไกสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกช่วงวัย” และการพัฒนาการเรียนรู้ใน “บริบทจริงของแต่ละพื้นที่” คือคำตอบสำคัญที่ต้องเร่งผลักดัน โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะหน่วยงานกำหนดนโยบายด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มุ่งขับเคลื่อนระบบการศึกษาแบบ “Smart + Local” ที่ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และเข้าใจความแตกต่างของพื้นที่

รศ.ดร.ประวิต ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทยต้องเริ่มจาก “การเข้าใจและเชื่อมั่นในพลังของพื้นที่” และการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้การจัดการศึกษาทันต่อความเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันยังต้องคำนึงถึงอัตลักษณ์เชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา

ทั้งนี้ การจัดประชุมสมัชชาสภาการศึกษาแห่งชาติ จึงเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและภาคีเครือข่าย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ และเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และเชื่อมโยงเครือข่าย เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ตอบโจทย์ผู้เรียนเป็นรายบุคคลต่อไป

นายพัฒนพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวบนเวที Talk to Transform: พลังเล็ก เปลี่ยนเมืองใหญ่ ว่า การจัดตั้งสมัชาการศึกษาถือเป็นรอยเท้าแรกของการทำงานภายใต้มาตรการ Thailand Zero Dropout ที่ทำให้วันนี้เกิดสมัชชาสภาการศึกษาใน 15 จังหวัด พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแรงยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่เกิดตามมาคือ “ดอกผลของงาน” โดยเฉพาะการค้นพบต้นแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์รูปแบบชีวิตอันหลากหลาย รองรับเส้นทางการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองของเด็กและเยาวชนทุกคน

ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนตามมาตรการ Thailand Zero Dropout ทำให้เกิดการประยุกต์ทั้งทรัพยากรการเรียนรู้เดิม และนวัตกรรมการศึกษารูปแบบใหม่ มาปรับใช้ในพื้นที่ต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ การจัดการศึกษา “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกเส้นทางการศึกษาให้เหมาะกับชีวิตและข้อจำกัดของตนเอง หลักสูตรนี้ออกแบบให้ยืดหยุ่น ทั้งเวลาเรียน เนื้อหา และการวัดผล โดยมีรากฐานจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 15 ที่รองรับ 3 รูปแบบการศึกษา คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และ การศึกษาตามอัธยาศัย

จากต้นแบบเล็ก ๆ ปัจจุบันขยายเป็น 937 โรงเรียนทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน แนวร่วมในการจัดการศึกษารูปแบบอื่น ๆ ก็เติบโตควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็น

  • ศูนย์การเรียนตามมาตรา 12
  • โรงเรียนมือถือ (Mobile School) ที่เปิดโอกาสให้ชุมชนและภาคประชาชนเข้ามาจัดการศึกษา
  • การจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งสร้างพื้นที่ต้นแบบการเรียนรู้ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้ช่วย “เปิดประตูสู่การเรียนรู้ที่ไม่ติดกรอบ สู่โอกาสที่ไม่จำกัด” ให้แก่เด็กและเยาวชนจำนวนมาก

ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. ระบุว่าการดำเนินงาน Thailand Zero Dropout ทำให้จำนวนเด็กเยาวชนที่ตกหล่นจากระบบการศึกษาลดลงอย่างชัดเจน จาก 1.02 ล้านคนในปี 2566 เหลือ 8.8 แสนคนในปี 2568 และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องตามความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในอนาคต

นิทรรศการในครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็น “ผลลัพธ์จากการทำงานที่มีชีวิต” ผ่านการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น หลากหลาย และตอบโจทย์ชีวิต ทำให้เด็กและเยาวชนจำนวนมากกลับมาวางแผนอนาคตของตัวเองได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา เรียนรู้ทักษะอาชีพที่สนใจ หรือสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวอย่างมั่นคง โดยตัวอย่างแรงบันดาลใจจากพื้นที่

  • “น้องเอิร์ธ” วัย 17 ปี จ.เชียงราย
    เคยหลุดจากระบบการศึกษาเพราะต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว จนกลับมาเรียนผ่าน “ห้องเรียนระบบสอง” ภายใต้แนวคิด 1 โรงเรียน 3 รูปแบบของ โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม ห้องเรียนนี้ยืดหยุ่นเรื่องเวลาและการประเมิน ทำให้เอิร์ธสามารถเรียนและทำงานไปพร้อมกัน ปัจจุบันเขาเชื่อว่า “ทุกที่คือโรงเรียน” และเตรียมต่อยอดสู่สายอาชีพหลังได้รับวุฒิมัธยมปลาย
  • “น้องเนส” วัย 22 ปี จ.สุรินทร์
    หลุดจากระบบตั้งแต่ ม.ต้น กระทั่ง อบต.หนองสนิท อำเภอจอมพระ เริ่มทำงานเรื่องการดูแลเด็กเยาวชนในพื้นที่ด้วยการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น และชวนเนสกลับมาเรียนผ่าน ศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 พร้อมฝึกทักษะอาชีพที่สนใจ ปัจจุบันเขาจบ ม.ต้น ได้รับวุฒิการศึกษา และประกอบอาชีพช่างตัดผมในชุมชน พร้อมมุ่งพัฒนาตนเองต่อไป
  • “น้องฮักแพง” วัย 18 ปี จ.ร้อยเอ็ด
    เด็กสาวนักร้องหมอลำที่ฝันอยากเรียนต่อระดับอุดมศึกษา เมื่อศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ พัฒนาหลักสูตร “หมอลำศึกษา” ร่วมกับวงดนตรี ทำให้เธอสามารถเทียบโอนประสบการณ์จากเวทีการแสดงเป็นหน่วยกิต เพื่อสะสมวุฒิการศึกษามัธยมปลาย และเตรียมต่อยอดสู่มหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างจากพื้นที่อื่น ๆ เช่น “โรงเรียนในสวนทุเรียน” จ.สุราษฎร์ธานี ที่ช่วยเด็กซึ่งหลุดจากระบบในช่วงวิกฤตโควิด-19 ให้กลับมามีวุฒิการศึกษา ควบคู่ไปกับการสร้างอาชีพและรายได้

ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า การจัดตั้งสมัชชาการศึกษา คือการสร้างเครือข่ายที่มี กระบวนการค้นหา-ดูแลช่วยเหลือ-ส่งต่อ เด็กแต่ละคนให้ได้รับรูปแบบการศึกษาที่เหมาะสมกับชีวิต ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เด็ก ๆ กลับเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ แต่ยังสร้างความพร้อมในการประกอบอาชีพ และเปิดโอกาสให้พวกเขาพิสูจน์ว่า “ทุกคนทำได้” โดยผลลัพธ์ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นต้นแบบของการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยในระยะยาว