ถ้าการศึกษาไม่ใช่แค่ “ไปโรงเรียน”…
แล้วเรายังมี “ทางเลือก” อะไรอีกบ้าง?
รู้ไหมว่า…
ในประเทศไทยยังมี “ศูนย์การเรียน” ที่ ใครๆ ก็จัดการศึกษาได้ โดยใช้ชีวิตจริง ชุมชน หรือความถนัดของผู้เรียน
มาออกแบบการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละคน
แต่นี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่…
มันมี “ราก” มาตั้งแต่ รัฐธรรมนูญปี 2540
ที่ประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบ “สิทธิในการจัดการศึกษา” ด้วยตนเอง จนต่อมาเป็น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
เจตนารมณ์คือ…
“เปิดโอกาสให้สถาบันทางสังคมที่มีความพร้อม มาช่วยรัฐจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
ทั้งครอบครัว ชุมชน ศาสนา บุคคล องค์กรวิชาชีพ หรือแม้กระทั่งสถานประกอบการ
ศูนย์การเรียนภายใต้มาตรา 12 มี กฎกระทรวงรองรับ 6 ฉบับ ได้แก่:
ครอบครัว (ปี 2547)
สถานประกอบการ (ปี 2547)
สถาบันศาสนาพุทธ (ปี 2548)
บุคคล (ปี 2554)
องค์กรวิชาชีพ (ปี 2554)
องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน (ปี 2555)
อ้างอิงตามมาตรา 12, มาตรา 18(3) และมาตรา 53 วรรคสอง เปิดกว้างให้ประชาชนสามารถจัดการศึกษาได้ ยกเว้นใบประกอบวิชาชีพครู หากมีความพร้อมและยึดประโยชน์สูงสุดของผู้เรียนเป็นสำคัญ
ที่มา: Workshop “การจัดการศึกษาในศูนย์การเรียน”
จัดโดยองค์กรชุมชน องค์กรเอกชน และสถานประกอบการ ตามมาตรา 12
เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้เด็กและเยาวชนนอกระบบ ภายใต้แนวคิด
Thailand Zero Dropout
เอกสารประกอบการประชุม: คลิก
รับชมวิดีโอย้อนหลัง: https://youtu.be/a-LaWwffEuo?si=s-bHLAoTJdIpjAWq
สนับสนุนโดย กสศ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
Visual note สวยๆ โดย: Chanthi.moon – Visual Note Taker
ร่วมสังเคราะห์ข้อมูล: GroundLoud

เมื่อโลกเปลี่ยนเร็วขนาดนี้…
“การศึกษา” ยังไหวอยู่ไหม?
ปลายปีที่ผ่านมา ประชากรโลกแตะ 8 พันล้านคน
แต่จำนวน “เด็กเกิดใหม่” ในไทยกลับไม่ถึง 500,000 คน
ในขณะที่สังคมผู้สูงวัยพุ่งขึ้น
สัดส่วนคนสูงวัยในประเทศไทยจะทะลุ 30% ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า
แล้ว…ใครจะดูแลพวกเขา/พวกเรา?
ถ้าเด็กที่เกิดน้อยลงเรื่อยๆ
ยังเติบโตในระบบการศึกษาที่ ไม่ช่วยให้พวกเขาเติบโตเต็มศักยภาพ
เรากำลังอยู่ในโลกที่…
• AI เข้ามาแทนแรงงานมนุษย์โดยไม่รู้ตัว
• เศรษฐกิจแย่งชิงความสนใจ (Attention Economy)
ดึงเราให้อยู่หน้าจอนานถึง 8–9 ชั่วโมงต่อวัน
• เด็กเจนใหม่ (Gen Alpha) เผชิญภาวะซึมเศร้ามากกว่า 50%
และมีอัตราพยายามฆ่าตัวตาย เพิ่มขึ้นถึง 100%
• มนุษย์กำลังสูญเสียสุขภาวะ
→ กายภาพ: จากอาหารแปรรูป (Ultra-processed food)
→ จิตใจและจิตวิญญาณ: จากความเครียด ความทุกข์ และการขาดความหมายในชีวิต
• สังคมขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มที่เห็น “กำไร” มากกว่า “คุณค่า” บูลลี่ ข้อมูลปลอม มิจฉาชีพแฝงอยู่ทุกมุม
แล้วระบบการศึกษาเรายังสอนแบบเดิม?
• ยังใช้ หลักสูตรปี 2551 อยู่หรือเปล่า?
• ยังเน้นการจำ ทำข้อสอบ วัดผลด้วยเกรดเพียงอย่างเดียว?
ถ้า การศึกษาไม่ปรับตัว
เด็กๆ จะโตมาเป็นแค่ “เบี้ยในเกม” มากกว่าเป็น “คนสร้างเกม”
ถึงเวลาแล้วหรือยัง…
ที่เราจะ ออกแบบการเรียนรู้ใหม่
ให้สอดรับกับโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน
และให้มนุษย์เติบโตได้ มากกว่าวุฒิ
ไม่ว่าอยู่ในระบบ นอกระบบ หรือเรียนตามอัธยาศัย
สิ่งที่เรียน ต้องใช้ได้จริง
และ ต้องช่วยให้ผู้เรียนพบ “ความหมายของชีวิต” บางอย่างในตัวเอง
ที่มา:
อาจารย์วิเชียร ไชยบัง ใน Workshop “การจัดการศึกษาในศูนย์การเรียน” โดยองค์กรชุมชน องค์กรเอกชน และสถานประกอบการ ตามมาตรา 12 เพื่อแก้ปัญหาเด็กนอกระบบ ภายใต้แนวคิด Thailand Zero Dropout

แม้โลกจะเปลี่ยนเร็ว
แต่…โรงเรียนก็ “พยายามจะเปลี่ยน”
ในยุคที่ทุกอย่างหมุนเร็วและท้าทาย
หลายโรงเรียนพยายามออกแบบการเรียนรู้ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จากการสอนในห้องเรียน → สู่ Project-Based Learning
ที่ให้ผู้เรียนลงมือทำ ฝึกคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา
เพื่อ “เรียนรู้จากโลกจริง” ไม่ใช่แค่จำเนื้อหาในหนังสือ
เพราะพวกเขารู้ว่า…
การศึกษาแบบเดิม ไม่พออีกต่อไปแล้ว
ตัวอย่างสำคัญ: โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
“การศึกษา ไม่ว่าจะในระบบ นอกระบบ หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง
ควรทำให้สิ่งที่เรียน
ใช้ได้จริงในชีวิต
พาให้คนๆ หนึ่ง พบความหมายในตัวเอง”
หลักสูตรใหม่จึงวางความสำคัญไว้ 3 หลัก:
1. ความสามารถในการอ่าน สื่อสาร เข้าใจ
2. ความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ (Functional Literacy)
3. ความสามารถเชิงสมรรถนะ แก้ปัญหาในบริบทจริง
การศึกษาควรพาเด็กไปไกลกว่าวิชาการ คือ…
สุขภาวะทางกาย
สุขภาวะทางใจ
สุขภาวะทางสังคม
สุขภาวะทางจิตวิญญาณ
และ “เจตจำนง” ที่เด็กจะตอบได้ว่า
“ฉันเกิดมาเพื่ออะไร?”
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
ออกแบบกระบวนการเติบโตของมนุษย์ ตั้งแต่เล็กจนโต
ผ่านการศึกษาตามช่วงวัยด้วยจิตศึกษา และ PBL โดย
อนุบาล – วัยก่อรูป
• สร้าง EF (Executive Functions)
• พัฒนาอารมณ์ สมาธิ ความมั่นคงทางจิต
• เล่นเป็น ทำเป็น ผ่านจิตศึกษาและธรรมชาติ
ประถม – วัยสร้าง
• ฝึกคิด ตั้งคำถาม สื่อสาร เลือก
• รู้จัก “ฉันเป็นใคร”
มัธยมต้น – วัยเก็บเกี่ยว สร้างอัตลักษณ์
• ม.1–2: เรียนเท่าที่จำเป็น เพื่อเปิด “พื้นที่ชีวิต” ให้เด็กค้นพบเส้นทางของตัวเอง
• ม.3: เด็กจะเริ่มพุ่งเป้าการเรียนไปสู่สิ่งที่ตนมุ่งมั่นจริง
………
แนวคิดนี้เชื่อว่า…
“การศึกษาที่ดี ไม่ควรปล่อยให้เด็กคนใดล้มเหลว”
โดยเฉพาะในช่วงอายุ 15 ปีแรก ที่สำคัญต่อการก่อรูป Self-concept – เป้าประสงค์ของชีวิต
และที่สำคัญ…
AI ควรเป็น “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “สิ่งที่กลืนชีวิตมนุษย์”
ถ้าเด็กไม่มี ปัญญาภายใน
AI อาจดึงเขาออกจากเจตจำนงชีวิต ก่อนที่เขาจะรู้ว่า…
“ฉันอยากเป็นอะไร”
การศึกษาแบบนี้ เรียบง่าย แต่แม่นยำ
เพราะมันพามนุษย์ ให้รู้จักชีวิต ไม่ใช่แค่รู้จักวิชา
ถ้าการศึกษาไม่เปลี่ยน…
เรากำลัง “บีบคั้นเด็กที่เกิดใหม่”
ให้เติบโตในโลกที่ต้องการคุณภาพมากกว่าเดิม
แต่ระบบ…กลับไม่เท่าทัน
แล้วเราควรมี “พื้นที่ทางการศึกษา” แบบไหน?
ที่ให้เด็กได้ “ยืดหยุ่น”
ได้ “เข้าใจโลก” และ “เข้าใจตัวเอง”
แม้จะอยู่นอกโรงเรียนก็ตาม

เมื่อโรงเรียนพยายามปรับ…แต่ระบบวิถีเดิมยังไม่ยืดหยุ่น?
แม้หลายโรงเรียนจะพยายามปรับการเรียนรู้ให้ตอบโจทย์ผู้เรียนมากขึ้น
แต่ก็ยังมีโรงเรียนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับ “กฎ–ระเบียบ–ข้อบังคับ”
ที่… ไม่ยืดหยุ่นมากพอ จน “เปลี่ยนแปลง” ได้ยาก
ตัวอย่างข้อจำกัดที่หลายโรงเรียนเจอ:
•
หลักสูตร พ.ศ. 2551 ที่ยังใช้โครงสร้างแบบเดิม
•
ตัวชี้วัดแบบลงรายละเอียดรายหน่วย
•
มาตรฐานการเรียนรู้ใน 8 กลุ่มสาระ
•
เงื่อนไข “เวลาเรียน” ที่นับแค่ในห้องเรียนเท่านั้น
•
กำหนดอายุของผู้เรียนไว้ที่ 6–18 ปี
ข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้หลายโรงเรียน…
“อยากปรับ แต่ก็ปรับได้ยากเหลือเกิน”
และเมื่อระบบไม่ยืดหยุ่นพอ
เด็กบางคนจึงค่อยๆ หลุดออกจากระบบ
บางคนมีข้อจำกัดด้านสุขภาพ
บางคนต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว
บางคนเรียนไม่ทันเพื่อน หรือไม่มีบ้านให้อยู่เป็นหลักแหล่ง
และบางคน…ก็แค่รู้สึกว่า
“การเรียนแบบนี้ไม่ตอบโจทย์ชีวิตเขาเลย”
คำถามจึงเริ่มดังขึ้นในหลายพื้นที่ว่า…
“นอกจากโรงเรียนแล้ว… เรายังมีการศึกษารูปแบบอื่นๆ ได้ไหม?”
“สามารถจัดการศึกษาให้กับเด็กนอกระบบ โดยไม่ติดกรอบแบบเดิม ได้หรือเปล่า?”
“เด็กที่อยู่นอกระบบยังมีสิทธิ์ได้รับการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพไหม?”

เมื่อ “โรงเรียนไม่ตอบโจทย์ทุกคน”
ยังมี “ศูนย์การเรียน” ที่จัดการศึกษาได้อย่างยืดหยุ่น
จาก… “โรงเรียนเป็นฐาน”
สู่… “ผู้เรียนเป็นฐาน”
สู่… “ชุมชนเป็นฐาน”
และ… “บริบทชีวิตเป็นฐาน”
—
ตัวอย่างศูนย์การเรียนที่มีอยู่จริงทั่วประเทศ ได้แก่:
•
ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน จ.น่าน
หลักสูตร “ดิน น้ำ ป่า คน ความมั่นคงทางอาหาร” เด็กๆ เรียนรู้จากการดูแลป่า รักษาชีวิตตนเอง และภูมิปัญญาชุมชน โดยชุมชนเป็นผู้จัดเองภายใต้สิทธิชุมชนตามกฎหมาย
•
ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา จ.เชียงใหม่
จัดโดยมูลนิธิกระจกเงา จัดการศึกษาให้เด็กไร้สัญชาติชายแดน ตามหลักสิทธิเด็ก เน้นทักษะชีวิต อาชีพ และการรู้หนังสือเพื่อใช้ในชีวิตจริง
•
ศูนย์การเรียนชุมชนศรีสุวรรณสะเนพ่องวิถีกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี
เด็กไทยชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เติบโตในผืนป่ามรดกโลก เรียนรู้ควบคู่กับวิถีชีวิต ความศรัทธา และวัฒนธรรมกะเหรี่ยง
•
ศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์ จ.ขอนแก่น
จัดโดยมูลนิธิดุลยพัฒน์ กลุ่มผู้ปกครองรวมตัวจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟ การศึกษาเพื่อชีวิตที่เชื่อมโยงหัวใจ ปัญญา และการกระทำ ให้เด็กเติบโตอย่างมีความหมาย กล้าคิด อ่อนโยน และเป็นตัวของตัวเอง
•
ศูนย์การเรียนบ้านอุ่นรัก จ.กาญจนบุรี
ดูแลเด็กๆ โดยเฉพาะกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยวและเด็กในสภาวะเปราะบาง สร้างพื้นที่ที่เป็นทั้ง “บ้าน” และ “โรงเรียน” โอบรับเด็กอย่างเป็นองค์รวมทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ตามแนวคิดแบบนีโอฮิวแมนนิสต์
ศูนย์การเรียนคืออะไร?
คือสถานศึกษา โดยสถาบันทางสังคม ที่ออกแบบแผนการเรียน การจัดการเรียนรู้ และระบบประเมิน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยปรับใช้ให้สอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน
ที่ได้รับการรับรองจาก สพฐ.กระทรวงศึกษาธิการ อยู่ในกำกับ ดูแล ส่งเสริม ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
แต่ ไม่ได้มีอำนาจบริหารจัดการโดยตรง เช่น การแต่งตั้งผู้บริหาร
—
นี่ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก”
แต่คือ “ทางรอด ความหวัง และมาตรฐานคุณภาพ”
ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงของผู้เรียน เสริมศักยภาพเฉพาะทาง
และเท่าทันโลกที่เปลี่ยนไปไกลแล้ว
การศึกษาไม่ควรอยู่แค่ในโรงเรียน
แต่อยู่ที่ “ตัวผู้เรียน” และ “บริบทที่เขามีชีวิตอยู่จริงๆ”
และถึงเวลาแล้ว
ที่เราทุกคนจะช่วยกัน “เปิดพื้นที่แบบนี้ให้มากขึ้น”
เพื่อไม่ปล่อยให้ใครหล่นหาย
เพียงเพราะเขาไม่สามารถเรียนในแบบที่ระบบกำหนดไว้

การศึกษานั้นใหญ่เกินกว่าที่รัฐจะทำเพียงลำพัง
และลึกเกินกว่าที่จะออกแบบโดยไม่ฟังเสียงของ “ผู้เรียน”
—
เราคุยกันมา 5 หัวข้อ
ตั้งแต่โลกที่หมุนเร็ว → ระบบที่ไม่ทันโลก
→ โรงเรียนที่พยายามปรับ → ระบบเดิมที่ยืดไม่พอ
→ จนมาถึงคำถามสำคัญว่า…
“ใครล่ะ ที่จะจัดการศึกษาให้เด็กเหล่านั้น?”
แล้วเราก็ค้นพบว่า
ไม่ใช่แค่โรงเรียน ที่จัดการศึกษาได้
เพราะกฎหมายเปิดทางไว้ตั้งแต่ปี 2542 แล้วว่า…
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
บัญญัติไว้ชัดเจนใน มาตรา 12 ว่า…
“ครอบครัว บุคคล องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน สถานประกอบการ หรือสถานบันทางศาสนา ฯลฯ
มีสิทธิในการจัดการศึกษาได้”
และใน มาตรา 53 วรรคสอง ก็ระบุว่า…
“ไม่บังคับใช้ใบประกอบวิชาชีพครู แก่บุคลากรทางการศึกษาที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัย ในมาตรา 18 (3)”
มาตรา 12 และ มาตรา 53 วรรคสอง
คือประตูให้ครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน
ได้ลุกขึ้นมา “จัดการศึกษา” ด้วยมือของตัวเอง
—
“ศูนย์การเรียน”
แต่ศูนย์การเรียนก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
ไม่ใช่การปล่อยให้เด็กเรียนตามใจ
และไม่ใช่สิ่งที่จะทดแทนระบบการศึกษาเดิมโดยสิ้นเชิง
มันคือ “การเสริม”
มันคือ “ช่องทางใหม่”
ที่ยืดหยุ่นพอให้คนไม่เหมือนกัน…ได้เรียนรู้ในแบบที่เป็นตัวเอง
และ มัน “ออกวุฒิการศึกษาได้จริง”
มัน “ออกแบบแผนการเรียนเฉพาะบุคคลได้จริง”
มัน “ประเมินผลในชีวิตจริงได้จริง”
และมัน “กลับคืนคุณค่าให้มนุษย์” ได้อย่างแท้จริง
—
เราจึงอยากชวนคุณไปต่อ
ในตอนถัดไป…ที่จะพูดถึง
การเทียบโอนผลการเรียน
การจัดแผนการเรียนให้เด็กกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
การพาเด็กชายแดน เด็กชาติพันธุ์ เด็กนอกระบบการศึกษา กลับสู่การเรียนรู้…แม้ไม่ได้นั่งอยู่ในห้องเรียน
—
เพราะสุดท้าย…
การศึกษาไม่ใช่เรื่องของการสอบผ่าน แต่คือการใช้ชีวิตได้อย่างมีเป้าหมาย
และศูนย์การเรียน…คือจุดเล็กๆ ที่เริ่มเปลี่ยนโลกของเด็กคนหนึ่งไปทีละคน