ศูนย์การเรียนรู้ the series ตอนที่ 1 : ศูนย์การเรียนรู้คืออะไร ?

ศูนย์การเรียนรู้ the series ตอนที่ 1 : ศูนย์การเรียนรู้คืออะไร ?

ถ้าการศึกษาไม่ใช่แค่ “ไปโรงเรียน”…
แล้วเรายังมี “ทางเลือก” อะไรอีกบ้าง?
รู้ไหมว่า…
ในประเทศไทยยังมี “ศูนย์การเรียน” ที่ ใครๆ ก็จัดการศึกษาได้ โดยใช้ชีวิตจริง ชุมชน หรือความถนัดของผู้เรียน
มาออกแบบการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละคน

💡 แต่นี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่…
มันมี “ราก” มาตั้งแต่ รัฐธรรมนูญปี 2540
ที่ประชาชนมีส่วนร่วมออกแบบ “สิทธิในการจัดการศึกษา” ด้วยตนเอง จนต่อมาเป็น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

📜 เจตนารมณ์คือ…
“เปิดโอกาสให้สถาบันทางสังคมที่มีความพร้อม มาช่วยรัฐจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
ทั้งครอบครัว ชุมชน ศาสนา บุคคล องค์กรวิชาชีพ หรือแม้กระทั่งสถานประกอบการ

📌 ศูนย์การเรียนภายใต้มาตรา 12 มี กฎกระทรวงรองรับ 6 ฉบับ ได้แก่:
✅ ครอบครัว (ปี 2547)
✅ สถานประกอบการ (ปี 2547)
✅ สถาบันศาสนาพุทธ (ปี 2548)
✅ บุคคล (ปี 2554)
✅ องค์กรวิชาชีพ (ปี 2554)
✅ องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน (ปี 2555)

📖 อ้างอิงตามมาตรา 12, มาตรา 18(3) และมาตรา 53 วรรคสอง เปิดกว้างให้ประชาชนสามารถจัดการศึกษาได้ ยกเว้นใบประกอบวิชาชีพครู หากมีความพร้อมและยึดประโยชน์สูงสุดของผู้เรียนเป็นสำคัญ

🔎 ที่มา: Workshop “การจัดการศึกษาในศูนย์การเรียน”
จัดโดยองค์กรชุมชน องค์กรเอกชน และสถานประกอบการ ตามมาตรา 12
เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้เด็กและเยาวชนนอกระบบ ภายใต้แนวคิด
Thailand Zero Dropout
📂 เอกสารประกอบการประชุม: คลิก
🎥 รับชมวิดีโอย้อนหลัง: https://youtu.be/a-LaWwffEuo?si=s-bHLAoTJdIpjAWq

สนับสนุนโดย กสศ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
✏️ Visual note สวยๆ โดย: Chanthi.moon – Visual Note Taker
ร่วมสังเคราะห์ข้อมูล: GroundLoud

🌍 เมื่อโลกเปลี่ยนเร็วขนาดนี้…
“การศึกษา” ยังไหวอยู่ไหม?

ปลายปีที่ผ่านมา ประชากรโลกแตะ 8 พันล้านคน
แต่จำนวน “เด็กเกิดใหม่” ในไทยกลับไม่ถึง 500,000 คน
ในขณะที่สังคมผู้สูงวัยพุ่งขึ้น
สัดส่วนคนสูงวัยในประเทศไทยจะทะลุ 30% ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า
💬 แล้ว…ใครจะดูแลพวกเขา/พวกเรา?
ถ้าเด็กที่เกิดน้อยลงเรื่อยๆ
ยังเติบโตในระบบการศึกษาที่ ไม่ช่วยให้พวกเขาเติบโตเต็มศักยภาพ

⚠️ เรากำลังอยู่ในโลกที่…
• AI เข้ามาแทนแรงงานมนุษย์โดยไม่รู้ตัว
• เศรษฐกิจแย่งชิงความสนใจ (Attention Economy)
ดึงเราให้อยู่หน้าจอนานถึง 8–9 ชั่วโมงต่อวัน
• เด็กเจนใหม่ (Gen Alpha) เผชิญภาวะซึมเศร้ามากกว่า 50%
และมีอัตราพยายามฆ่าตัวตาย เพิ่มขึ้นถึง 100%
• มนุษย์กำลังสูญเสียสุขภาวะ
→ กายภาพ: จากอาหารแปรรูป (Ultra-processed food)
→ จิตใจและจิตวิญญาณ: จากความเครียด ความทุกข์ และการขาดความหมายในชีวิต
• สังคมขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มที่เห็น “กำไร” มากกว่า “คุณค่า” บูลลี่ ข้อมูลปลอม มิจฉาชีพแฝงอยู่ทุกมุม

🧠 แล้วระบบการศึกษาเรายังสอนแบบเดิม?
• ยังใช้ หลักสูตรปี 2551 อยู่หรือเปล่า?
• ยังเน้นการจำ ทำข้อสอบ วัดผลด้วยเกรดเพียงอย่างเดียว?
ถ้า การศึกษาไม่ปรับตัว
เด็กๆ จะโตมาเป็นแค่ “เบี้ยในเกม” มากกว่าเป็น “คนสร้างเกม”

📌 ถึงเวลาแล้วหรือยัง…
ที่เราจะ ออกแบบการเรียนรู้ใหม่
ให้สอดรับกับโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน
และให้มนุษย์เติบโตได้ มากกว่าวุฒิ
ไม่ว่าอยู่ในระบบ นอกระบบ หรือเรียนตามอัธยาศัย
สิ่งที่เรียน ต้องใช้ได้จริง
และ ต้องช่วยให้ผู้เรียนพบ “ความหมายของชีวิต” บางอย่างในตัวเอง

🔎 ที่มา:
อาจารย์วิเชียร ไชยบัง ใน Workshop “การจัดการศึกษาในศูนย์การเรียน” โดยองค์กรชุมชน องค์กรเอกชน และสถานประกอบการ ตามมาตรา 12 เพื่อแก้ปัญหาเด็กนอกระบบ ภายใต้แนวคิด Thailand Zero Dropout

⚡️แม้โลกจะเปลี่ยนเร็ว
แต่…โรงเรียนก็ “พยายามจะเปลี่ยน”
ในยุคที่ทุกอย่างหมุนเร็วและท้าทาย
หลายโรงเรียนพยายามออกแบบการเรียนรู้ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
🧠 จากการสอนในห้องเรียน → สู่ Project-Based Learning
ที่ให้ผู้เรียนลงมือทำ ฝึกคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา
เพื่อ “เรียนรู้จากโลกจริง” ไม่ใช่แค่จำเนื้อหาในหนังสือ
เพราะพวกเขารู้ว่า…
การศึกษาแบบเดิม ไม่พออีกต่อไปแล้ว

🏫 ตัวอย่างสำคัญ: โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
“การศึกษา ไม่ว่าจะในระบบ นอกระบบ หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง
ควรทำให้สิ่งที่เรียน
✅ ใช้ได้จริงในชีวิต
✅ พาให้คนๆ หนึ่ง พบความหมายในตัวเอง”
🧭 หลักสูตรใหม่จึงวางความสำคัญไว้ 3 หลัก:
1. ความสามารถในการอ่าน สื่อสาร เข้าใจ
2. ความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ (Functional Literacy)
3. ความสามารถเชิงสมรรถนะ แก้ปัญหาในบริบทจริง
การศึกษาควรพาเด็กไปไกลกว่าวิชาการ คือ…
✅ สุขภาวะทางกาย
✅ สุขภาวะทางใจ
✅ สุขภาวะทางสังคม
✅ สุขภาวะทางจิตวิญญาณ
✅ และ “เจตจำนง” ที่เด็กจะตอบได้ว่า
“ฉันเกิดมาเพื่ออะไร?”

🎓 โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
ออกแบบกระบวนการเติบโตของมนุษย์ ตั้งแต่เล็กจนโต
ผ่านการศึกษาตามช่วงวัยด้วยจิตศึกษา และ PBL โดย
👶 อนุบาล – วัยก่อรูป
• สร้าง EF (Executive Functions)
• พัฒนาอารมณ์ สมาธิ ความมั่นคงทางจิต
• เล่นเป็น ทำเป็น ผ่านจิตศึกษาและธรรมชาติ
📚 ประถม – วัยสร้าง
• ฝึกคิด ตั้งคำถาม สื่อสาร เลือก
• รู้จัก “ฉันเป็นใคร”
👩‍🎓 มัธยมต้น – วัยเก็บเกี่ยว สร้างอัตลักษณ์
• ม.1–2: เรียนเท่าที่จำเป็น เพื่อเปิด “พื้นที่ชีวิต” ให้เด็กค้นพบเส้นทางของตัวเอง
• ม.3: เด็กจะเริ่มพุ่งเป้าการเรียนไปสู่สิ่งที่ตนมุ่งมั่นจริง

………
💡 แนวคิดนี้เชื่อว่า…
“การศึกษาที่ดี ไม่ควรปล่อยให้เด็กคนใดล้มเหลว”
โดยเฉพาะในช่วงอายุ 15 ปีแรก ที่สำคัญต่อการก่อรูป Self-concept – เป้าประสงค์ของชีวิต
📌 และที่สำคัญ…
AI ควรเป็น “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “สิ่งที่กลืนชีวิตมนุษย์”
ถ้าเด็กไม่มี ปัญญาภายใน
AI อาจดึงเขาออกจากเจตจำนงชีวิต ก่อนที่เขาจะรู้ว่า…
“ฉันอยากเป็นอะไร”

🌱 การศึกษาแบบนี้ เรียบง่าย แต่แม่นยำ
เพราะมันพามนุษย์ ให้รู้จักชีวิต ไม่ใช่แค่รู้จักวิชา

📌 ถ้าการศึกษาไม่เปลี่ยน…
เรากำลัง “บีบคั้นเด็กที่เกิดใหม่”
ให้เติบโตในโลกที่ต้องการคุณภาพมากกว่าเดิม
แต่ระบบ…กลับไม่เท่าทัน

แล้วเราควรมี “พื้นที่ทางการศึกษา” แบบไหน?
ที่ให้เด็กได้ “ยืดหยุ่น”
ได้ “เข้าใจโลก” และ “เข้าใจตัวเอง”
แม้จะอยู่นอกโรงเรียนก็ตาม

🏫 เมื่อโรงเรียนพยายามปรับ…แต่ระบบวิถีเดิมยังไม่ยืดหยุ่น?

แม้หลายโรงเรียนจะพยายามปรับการเรียนรู้ให้ตอบโจทย์ผู้เรียนมากขึ้น
แต่ก็ยังมีโรงเรียนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับ “กฎ–ระเบียบ–ข้อบังคับ”
ที่… ไม่ยืดหยุ่นมากพอ จน “เปลี่ยนแปลง” ได้ยาก

📌 ตัวอย่างข้อจำกัดที่หลายโรงเรียนเจอ:
• ✅ หลักสูตร พ.ศ. 2551 ที่ยังใช้โครงสร้างแบบเดิม
• ✅ ตัวชี้วัดแบบลงรายละเอียดรายหน่วย
• ✅ มาตรฐานการเรียนรู้ใน 8 กลุ่มสาระ
• ✅ เงื่อนไข “เวลาเรียน” ที่นับแค่ในห้องเรียนเท่านั้น
• ✅ กำหนดอายุของผู้เรียนไว้ที่ 6–18 ปี
💬 ข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้หลายโรงเรียน…
“อยากปรับ แต่ก็ปรับได้ยากเหลือเกิน”
🚨 และเมื่อระบบไม่ยืดหยุ่นพอ
เด็กบางคนจึงค่อยๆ หลุดออกจากระบบ
บางคนมีข้อจำกัดด้านสุขภาพ
บางคนต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว
บางคนเรียนไม่ทันเพื่อน หรือไม่มีบ้านให้อยู่เป็นหลักแหล่ง
และบางคน…ก็แค่รู้สึกว่า
“การเรียนแบบนี้ไม่ตอบโจทย์ชีวิตเขาเลย”

📣 คำถามจึงเริ่มดังขึ้นในหลายพื้นที่ว่า…
“นอกจากโรงเรียนแล้ว… เรายังมีการศึกษารูปแบบอื่นๆ ได้ไหม?”
“สามารถจัดการศึกษาให้กับเด็กนอกระบบ โดยไม่ติดกรอบแบบเดิม ได้หรือเปล่า?”
“เด็กที่อยู่นอกระบบยังมีสิทธิ์ได้รับการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพไหม?”

🧩 เมื่อ “โรงเรียนไม่ตอบโจทย์ทุกคน”
ยังมี “ศูนย์การเรียน” ที่จัดการศึกษาได้อย่างยืดหยุ่น
🌱 จาก… “โรงเรียนเป็นฐาน”
สู่… “ผู้เรียนเป็นฐาน”
สู่… “ชุมชนเป็นฐาน”
และ… “บริบทชีวิตเป็นฐาน”

✏️ ตัวอย่างศูนย์การเรียนที่มีอยู่จริงทั่วประเทศ ได้แก่:
• 🌳 ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน จ.น่าน
หลักสูตร “ดิน น้ำ ป่า คน ความมั่นคงทางอาหาร” เด็กๆ เรียนรู้จากการดูแลป่า รักษาชีวิตตนเอง และภูมิปัญญาชุมชน โดยชุมชนเป็นผู้จัดเองภายใต้สิทธิชุมชนตามกฎหมาย
• 🧒 ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา จ.เชียงใหม่
จัดโดยมูลนิธิกระจกเงา จัดการศึกษาให้เด็กไร้สัญชาติชายแดน ตามหลักสิทธิเด็ก เน้นทักษะชีวิต อาชีพ และการรู้หนังสือเพื่อใช้ในชีวิตจริง
• 🌾 ศูนย์การเรียนชุมชนศรีสุวรรณสะเนพ่องวิถีกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี
เด็กไทยชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เติบโตในผืนป่ามรดกโลก เรียนรู้ควบคู่กับวิถีชีวิต ความศรัทธา และวัฒนธรรมกะเหรี่ยง
• 🏘️ ศูนย์การเรียนดุลยพัฒน์ จ.ขอนแก่น
จัดโดยมูลนิธิดุลยพัฒน์ กลุ่มผู้ปกครองรวมตัวจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟ การศึกษาเพื่อชีวิตที่เชื่อมโยงหัวใจ ปัญญา และการกระทำ ให้เด็กเติบโตอย่างมีความหมาย กล้าคิด อ่อนโยน และเป็นตัวของตัวเอง
• 🌈 ศูนย์การเรียนบ้านอุ่นรัก จ.กาญจนบุรี
ดูแลเด็กๆ โดยเฉพาะกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยวและเด็กในสภาวะเปราะบาง สร้างพื้นที่ที่เป็นทั้ง “บ้าน” และ “โรงเรียน” โอบรับเด็กอย่างเป็นองค์รวมทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ตามแนวคิดแบบนีโอฮิวแมนนิสต์

🎯 ศูนย์การเรียนคืออะไร?
คือสถานศึกษา โดยสถาบันทางสังคม ที่ออกแบบแผนการเรียน การจัดการเรียนรู้ และระบบประเมิน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยปรับใช้ให้สอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน
ที่ได้รับการรับรองจาก สพฐ.กระทรวงศึกษาธิการ อยู่ในกำกับ ดูแล ส่งเสริม ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
แต่ ไม่ได้มีอำนาจบริหารจัดการโดยตรง เช่น การแต่งตั้งผู้บริหาร

📌 นี่ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก”
แต่คือ “ทางรอด ความหวัง และมาตรฐานคุณภาพ”
ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงของผู้เรียน เสริมศักยภาพเฉพาะทาง
และเท่าทันโลกที่เปลี่ยนไปไกลแล้ว
การศึกษาไม่ควรอยู่แค่ในโรงเรียน
แต่อยู่ที่ “ตัวผู้เรียน” และ “บริบทที่เขามีชีวิตอยู่จริงๆ”
🤝 และถึงเวลาแล้ว
ที่เราทุกคนจะช่วยกัน “เปิดพื้นที่แบบนี้ให้มากขึ้น”
เพื่อไม่ปล่อยให้ใครหล่นหาย
เพียงเพราะเขาไม่สามารถเรียนในแบบที่ระบบกำหนดไว้

การศึกษานั้นใหญ่เกินกว่าที่รัฐจะทำเพียงลำพัง
และลึกเกินกว่าที่จะออกแบบโดยไม่ฟังเสียงของ “ผู้เรียน”

เราคุยกันมา 5 หัวข้อ
ตั้งแต่โลกที่หมุนเร็ว → ระบบที่ไม่ทันโลก
→ โรงเรียนที่พยายามปรับ → ระบบเดิมที่ยืดไม่พอ
→ จนมาถึงคำถามสำคัญว่า…
“ใครล่ะ ที่จะจัดการศึกษาให้เด็กเหล่านั้น?”

แล้วเราก็ค้นพบว่า
ไม่ใช่แค่โรงเรียน ที่จัดการศึกษาได้
เพราะกฎหมายเปิดทางไว้ตั้งแต่ปี 2542 แล้วว่า…
📜 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
บัญญัติไว้ชัดเจนใน มาตรา 12 ว่า…
✳️ “ครอบครัว บุคคล องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน สถานประกอบการ หรือสถานบันทางศาสนา ฯลฯ
มีสิทธิในการจัดการศึกษาได้”
และใน มาตรา 53 วรรคสอง ก็ระบุว่า…
✳️ “ไม่บังคับใช้ใบประกอบวิชาชีพครู แก่บุคลากรทางการศึกษาที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัย ในมาตรา 18 (3)”

มาตรา 12 และ มาตรา 53 วรรคสอง
คือประตูให้ครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน
ได้ลุกขึ้นมา “จัดการศึกษา” ด้วยมือของตัวเอง

✅ “ศูนย์การเรียน”
แต่ศูนย์การเรียนก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
ไม่ใช่การปล่อยให้เด็กเรียนตามใจ
และไม่ใช่สิ่งที่จะทดแทนระบบการศึกษาเดิมโดยสิ้นเชิง
มันคือ “การเสริม”
มันคือ “ช่องทางใหม่”
ที่ยืดหยุ่นพอให้คนไม่เหมือนกัน…ได้เรียนรู้ในแบบที่เป็นตัวเอง
และ มัน “ออกวุฒิการศึกษาได้จริง”
มัน “ออกแบบแผนการเรียนเฉพาะบุคคลได้จริง”
มัน “ประเมินผลในชีวิตจริงได้จริง”
และมัน “กลับคืนคุณค่าให้มนุษย์” ได้อย่างแท้จริง

เราจึงอยากชวนคุณไปต่อ
ในตอนถัดไป…ที่จะพูดถึง
📚 การเทียบโอนผลการเรียน
🎯 การจัดแผนการเรียนให้เด็กกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
🧭 การพาเด็กชายแดน เด็กชาติพันธุ์ เด็กนอกระบบการศึกษา กลับสู่การเรียนรู้…แม้ไม่ได้นั่งอยู่ในห้องเรียน

📌 เพราะสุดท้าย…
การศึกษาไม่ใช่เรื่องของการสอบผ่าน แต่คือการใช้ชีวิตได้อย่างมีเป้าหมาย
และศูนย์การเรียน…คือจุดเล็กๆ ที่เริ่มเปลี่ยนโลกของเด็กคนหนึ่งไปทีละคน

ดาวน์โหลดเพิ่มเติม