ย้อนกลับไปเมื่อบ่ายของ 24 เมษายน 2568 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ CYF Thailand – มูลนิธิส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน และ อีสานจะเลิร์น จัดงาน ‘โรงเรียนเคลื่อนที่ (Mobile School)’ พบปะกับหุ้นส่วนทางการศึกษาทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ณ สวนเรืองแสง จ.ขอนแก่น
ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมและเวทีสัมมนาเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยน เช่น เวทีแสดงความยินดีกับน้องๆ โรงเรียนมือถือที่จบการศึกษาและได้รับวุฒิการศึกษา
บูธกิจกรรมจากหุ้นส่วนทางการศึกษา ระบบนิเวศที่สำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กๆ เวทีเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ “จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อภาคประชาชนลุกขึ้นมาจัดการศึกษาด้วยตัวเอง” และ Mini Workshop จากภาคีเครือข่าย
เด็กและเยาวชนมักถูกมองว่าเป็นอนาคตของชาติ แต่ความเป็นจริงที่ซับซ้อนกว่านั้น คือ ในวันนี้เด็กจำนวนไม่น้อยกำลังเดินออกจากเส้นทางที่สังคมขีดไว้ให้ และการออกนอกเส้นทางครั้งนี้ไม่ใช่ความล้มเหลวเสมอไป มีหลายปัจจัยมากที่ส่งอิทธิพลให้พวกเขาต้องตามหาเส้นทางที่เหมาะกับตัวเอง หรือต้องหันหลังให้กับการศึกษาแม้ว่าจะเป็นสิ่งจำเป็นก็ตาม ปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษาจึงยังคงเป็นปมใหญ่ที่ยังแก้ไม่ตก
ทำให้เกิดทางเลือกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เกิดเป็นโครงการ ‘โรงเรียนมือถือ’ ขึ้นมา การศึกษาทางเลือกที่พัฒนาจากความเข้าใจชีวิตจริง กำลังเปิดประตูใหม่ ประตูที่ไม่เพียงนำไปสู่การเรียนรู้ แต่ยังคืนศักดิ์ศรีและตัวตนให้กับเด็กและเยาวชนอีกครั้ง

เส้นทางในความแตกต่างกับ ‘การศึกษา’ ที่ไม่ทำร้ายผู้เรียน
ในโลกที่การศึกษาถูกมองว่าเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ บางครั้ง การหายไปจากระบบเดิม กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบเส้นทางใหม่ เส้นทางที่เยาวชนเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
วิทิต เติมผลบุญ เลขานุการสมาคมศูนย์การเรียนรู้ โดยองค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน คือ หนึ่งในคนที่ตั้งคำถามกับบทบาทของ ‘โรงเรียน’ ตั้งแต่ช่วงแรกที่ทำงานกับชุมชนห่างไกล วิทิตมองเห็นว่าการสร้างโรงเรียนบางครั้งไม่ได้ตอบโจทย์หรือความต้องการของคนในพื้นที่ รวมทั้งเยาวชนเท่าไหร่นัก
“เราต้องเข้าใจก่อนว่า มีหลายปัจจัยมากที่ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา และมีหลายปัจจัยที่ทำให้การศึกษาในระบบไม่ตอบโจทย์เด็กและเยาวชน ”
ปัญหาเด็กหลุดนอกระบบการศึกษาไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป พวกเขาอยู่ตรงนั้น อยู่ข้างเรา เป็นเด็กที่หายไปจากทะเบียนนักเรียนแต่ไม่หายไปจากสังคม เด็กที่ไม่มีใครรับประกันว่าเขาจะมี ‘อนาคต’ ต่อไปในวันข้างหน้าหรือไม่

ในภาคอีสาน มีข้อมูลเด็ก Dropout ในค่าเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูง เด็กบางคนออกจากโรงเรียนตั้งแต่ประถมต้น เพราะต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ ทำสวน การเข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งเสพติด รวมถึงการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์กับวิถีชีวิตจึงทำให้เยาวชนเลือกที่จะออกมาเอง
ระบบราชการกลับมีเพียงทางเลือกเดียว คือ การกลับเข้าโรงเรียนแบบเดิม ทั้งที่นั่นเป็นสถานที่ที่พวกเขาเคยหลุดออกมา จากประสบการณ์ของวิทิตและทีม ที่ได้ทำงานร่วมกับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พวกเขาพบว่า เด็กบางส่วนหลุดจากระบบเพราะเงื่อนไขทางกฎหมาย แต่ยังอยากเรียนต่อ และบางคนแม้จะไม่ได้เรียนแล้ว แต่ชื่อยังคงถูกแขวนอยู่ในระบบโดยไม่มีแนวทางรองรับ
คำถาม แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้ได้เรียนต่อและมีวุฒิการศึกษา ไม่เช่นนั้น ปัญหานี้จะเรื้อรังและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และแรงงานในระยะยาว
วิทิตจึงร่วมมือกับศูนย์การเรียน CYF (Children and Youth Development Foundation), กสศ., คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดนครพนม, สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครพนม รวมถึงภาคีเครือข่ายพัฒนาเด็กนอกระบบ ขับเคลื่อนโครงการ ‘โรงเรียนมือถือ’ เพื่อแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา (Dropout) ด้วยการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเรียนรู้ ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการศึกษาได้จากทุกที่
หลักสูตรของโรงเรียนมือถือถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับความสนใจของผู้เรียน มีความยืดหยุ่น แต่ยังเป็นไปตามมาตรฐานของการศึกษาภาคบังคับ โดยอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. 2545) มาตรา 12 และ 15 ซึ่งหมายความว่า เด็กที่เรียนจบจะได้รับวุฒิเทียบเท่าการเรียนในระบบ

“เรานำร่องโครงการนี้ที่จังหวัดนครพนม โดยมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเยาวชนที่หลุดจากระบบช่วงมัธยมต้น และเด็กที่พ้นจากสถานพินิจ ให้สามารถกลับมาเรียนได้อีกครั้งผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย” วิทิตกล่าว
โรงเรียนมือถือทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเด็กกับการศึกษา ผ่านการเรียนออนไลน์ที่มีครูจากทีมของวิทิตดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมเทคโนโลยี AI ที่ช่วยวิเคราะห์และแนะนำทักษะเฉพาะให้เหมาะกับแต่ละคน
“ในช่วงปีแรกเราของการพัฒนาโรงเรียนมือถือ เราจะมี 4 ขั้นตอนง่ายๆ คือ ชิม ชอบ โชกโชน เชี่ยวชาญ ในกระบวนการนี้จะเริ่มตั้งแต่การที่ให้เด็กๆ ค้นหาคลิปวิดีโอเพลงหรืออื่นๆ มาแชร์กัน โดยจะมีทีมคุณครูคอยประเมินเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดของ สพฐ.
“ขั้นตอนต่อไปคือการแบ่งปันเรื่องราวในกลุ่ม เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ และเรียนรู้ความหลากหลายของความสนใจ จากนั้นจึงพาเด็กไปเรียนรู้หรือฝึกงานกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่สนใจ พร้อมต่อยอดสู่การสร้างอาชีพจริง เด็กจะได้ทั้งเรียนรู้ ทักษะ รายได้ และวุฒิการศึกษาภายใต้แผนการเรียนรู้ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล”
โครงการได้จัดพิธีมอบวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) ให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 โดยมีผู้อำนวยการสถานพินิจฯ คณะผู้พิพากษาศาลเยาวชนฯ มหาวิทยาลัยนครพนม และผู้แทนจากหน่วยงานราชการเข้าร่วม
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า ‘โรงเรียนมือถือ’ ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา แต่ยังตอบโจทย์การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และสอดคล้องกับชีวิตจริง ทำให้โครงการนี้ถูกขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศในฐานะทางเลือกใหม่ของการศึกษา
วิทิต เชื่อว่าการศึกษาในยุคนี้ไม่ควรยึดติดกับรูปแบบเดิม เพราะเทคโนโลยีก้าวไปไกล เด็กและเยาวชนจึงควรมีทางเลือกที่ยืดหยุ่นและเข้ากับชีวิตจริง ‘โรงเรียนมือถือ’ คือหนึ่งในทางเลือกที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นี้
“สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ผู้ปกครองเข้าใจและเชื่อมั่นว่า แม้ลูกจะไม่ได้ไปโรงเรียนแบบเดิม ก็ยังเรียนจบและได้รับวุฒิการศึกษาจริง”
เพราะวุฒิการศึกษายังเป็นใบเบิกทางสำคัญสำหรับอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อหรือเพิ่มรายได้ในอาชีพ แม้การสื่อสารให้ผู้ใหญ่เข้าใจยังเป็นเรื่องท้าทาย แต่วิทิตเชื่อว่าทุกคนล้วนอยากเห็นลูกหลานมีชีวิตที่ดี
“โรงเรียนมือถือกำลังพัฒนาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์และประเมินผลมากขึ้น รวมถึงเตรียมสร้างระบบการเรียนรู้เสมือนจริง เพื่อขยายขอบเขตการเรียนรู้ให้ไกลยิ่งขึ้น”
เส้นทางการทำงานของวิทิตและภาคีเครือข่าย คือ การผลักดันทางเลือกใหม่ทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โรงเรียนมือถือจึงถูกสร้างมา เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียม และลดจำนวนเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาให้น้อยลง

จากการหลุดออกสู่การค้นพบ เมื่อการศึกษาตอบโจทย์ผู้เรียน
สอยอ สัญญา มัครินทร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งมหา’ลัยไทบ้าน และครูผู้ทำงานกับเด็กนอกระบบ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า หลายครั้งเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ไม่ได้ ‘หลงทาง’ แต่กำลัง ‘หาทางของตัวเอง’
“จากประสบการณ์ทำงานกับเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา เรามองว่า สิ่งที่เด็กต้องการมากที่สุดคือ ความเป็นตัวเอง พวกเขาต้องการพื้นที่ ที่ยอมรับในตัวตน ความสนใจ และเส้นทางชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริง”
หนึ่งในเหตุผลหลักที่เด็กหลายคนตัดสิน Dropout คือ โรงเรียนหรือระบบการเรียนการสอนแบบเดิม ที่ไม่ตอบสนองความต้องการ ตอบโจทย์กับชีวิตจริงและแนวทางของเขาอีกต่อไป

ซึ่งความไม่ตอบโจทย์ความต้องการ มีทั้งในด้านวิธีการเรียนรู้และเส้นทางอาชีพที่เด็กและเยาวชนสนใจ และมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่เผชิญกับปัญหาสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยจากการไปโรงเรียน เช่น การโดนเพื่อนกลั่นแกล้ง
“อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลอย่างมากเพราะการเรียนต้องมีต้นทุน ทั้งค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายรายวัน ค่าอุปกรณ์การเรียนต่างๆ การที่พวกเขาเลือกที่จะออกจากโรงเรียน ก็เป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตได้ระดับหนึ่ง และอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายของที่บ้านไปด้วย”
เพราะใช่ว่าเด็กทุกคนจะสามารถมาโรงเรียนได้โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องค่ากินค่าอยู่ ในแต่ละวัน เมื่อเรื่องของปากท้องยังเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขาจึงเลือกที่จะหันหลังให้กับการศึกษาและก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน
นอกจากนี้ ยังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่มี แนวทางชีวิตชัดเจน พวกเขารู้ตัวเองว่าสนใจอะไร และอยากโฟกัสพัฒนาทักษะในเส้นทางนั้นโดยตรง การเรียนในระบบเดิมกลับกลายเป็นอุปสรรค เพราะไม่ได้เอื้อต่อการลงลึกในเรื่องที่พวกเขาสนใจอย่างแท้จริง

ความต้องการของเด็กและเยาวชนที่ครูสอยอได้ร่วมพูดคุยสอบถามและทำงานร่วมด้วย จึงเป็นประเด็นการศึกษาที่ควรที่จะตอบสนองและสอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา การได้เป็นเจ้าของหลักสูตรตามประเด็น เส้นทาง และทางเลือกที่ตัวเองสนใจ
“การทำงานในส่วนนี้ช่วงก่อนและหลังมีโรงเรียนมือถือมีความแตกต่างกันไหม สำหรับเรามีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดนะ เพราะก่อนที่โรงเรียนมือถือจะเข้ามาการทำงานกับเด็กและเยาวชนที่ Dropout ไปแล้วค่อนข้างมีข้อจำกัดหลายอย่าง”
ข้อจำกัดที่สอญอค้นพบ คือ เด็กและเยาวชนมีข้อจำกัดเรื่องเวลา การกลับเข้าเรียนในระบบ หรือการเรียน กศน. เพราะต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ในการจบหลักสูตร ซึ่งไม่ตอบโจทย์เด็กที่ต้องเรียนไปด้วยและทำงานช่วยที่บ้านไปด้วย หรือคนที่ต้องการความก้าวหน้าที่รวดเร็วกว่านั้น
“การมี ‘โรงเรียนมือถือ’ เข้ามา จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่สำคัญสำหรับเด็กกลุ่มนี้ มันช่วยเติมเต็มความต้องการของเด็กทั้งในเรื่องของวุฒิการศึกษา และการยอมรับในเส้นทางเฉพาะตัวของเขา รวมทั้งลดเวลาจบหลักสูตรเหลือแค่ 5-6 เดือน ไม่ต้องพึ่งการสอบแบบท่องจำ และตอบโจทย์หลากหลายชีวิตที่แตกต่างกัน”
สุดท้ายนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการมี ‘โรงเรียนมือถือ’ คือ การที่เด็กและเยาวชนไม่ถูกการศึกษาทอดทิ้งไว้ด้านหลัง และเส้นทางที่แตกต่างของพวกเขาถูกยอมรับ และสามารถเติบโตไปกับเส้นทางเหล่านั้นได้
บทบาทของ กสศ. กับความร่วมมือพัฒนา ‘โรงเรียนมือถือ’
อิษฏ์ ปักกันต์ธร รักษาการผู้อำนวยการสำนักพัฒนาการเรียนรู้เชิงพื้นที่ กสศ. ชี้ให้เห็นว่าในบริบทของประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย การมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาเกือบล้านคน ไม่ใช่แค่ปัญหาเชิงสังคม แต่เป็นสัญญาณอันตรายต่ออนาคตทั้งประเทศ
“แนวทางของ กสศ. สิ่งที่เราทำคือพยายามดึงเด็กที่หลุดออกไปแล้วให้กลับเข้าสู่ระบบผ่าน ‘การศึกษาที่ยืดหยุ่น’ ซึ่งเราไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง มีภาคีมากมายที่ร่วมมือกัน”
เพราะปัญหาเด็ก Dropout มักไม่ใช่แค่เรื่องการเรียน แต่อาจมาจากปัญหาในครอบครัว ความรุนแรงในโรงเรียน ต้องดูแลพ่อแม่ หรือมีปัญหาสุขภาพ ฯลฯ
หนึ่งในความร่วมมือที่สำคัญ คือ Mobile School หรือ ‘โรงเรียนมือถือ’ ซึ่งหมายถึงการออกแบบการเรียนรู้ให้เดินทางไปหาผู้เรียน ไม่ใช่รอให้ผู้เรียนเดินมาหาโรงเรียนเหมือนในอดีต มันคือความยืดหยุ่นทั้งในแง่ของเวลา เนื้อหา และสถานที่
“บางคนต้องทำงานไปด้วยดูแลครอบครัวไปด้วย การเรียนแบบเต็มวัน 8 ชั่วโมงจึงไม่ตอบโจทย์ เราจึงออกแบบแพลตฟอร์มใหม่ๆ ให้คนสามารถเรียนรู้ตามจังหวะชีวิตตัวเองได้”

ระบบนี้ไม่ได้ทำกับเด็กเพียงลำพัง เราร่วมมือกับศูนย์การเรียนต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียนในระบบ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ รวมถึงภาคเอกชน เพื่อพัฒนาโมเดลที่เหมาะสม
นอกจากการเรียนรู้เชิงวิชาการ ทาง กสศ.ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา ‘ทักษะชีวิต’ และการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น เพื่อสร้างระบบนิเวศทางสังคมที่เกื้อหนุนให้เด็กๆ เห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น
“เป้าหมายระยะสั้นของ กสศ. Mobile School ทำให้เข้าถึงเด็กที่มีความเสี่ยงจะหลุดจากระบบให้ได้มากที่สุด ให้ Mobile School เป็น ‘เครื่องมือในการมองเห็น’ และ ‘เครื่องมือในการแก้ปัญหา’ ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งครูในระบบและคนทำงานนอกระบบมีความมั่นใจและทำงานได้ง่ายขึ้น”
ซึ่งสิ่งที่ กสศ. ให้การสนับสนุนอยู่ทำในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด หลายโรงเรียน หลายฝ่ายทำมาก่อนแล้ว เพียงแต่ทาง กสศ. พยายามเป็นตัวกลางในการประสานแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กที่อยู่นอกสายตาของระบบราชการ ที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นอยู่ในกระบวนการยุติธรรม พยายามเชื่อมโยงให้พวกเขากลับเข้าสู่ระบบการศึกษาผ่านโรงเรียนมือถือ
สุดท้ายแล้ว กสศ. มองว่าถ้าสามารถทำให้ชุมชนเห็นความสำคัญในประเด็นเรื่องการศึกษาและโรงเรียนมือถือได้ คนในพื้นที่ก็จะลุกขึ้นมาช่วยกันอีกแรงหนึ่ง เพราะเด็กเหล่านี้คือลูกหลานของพวกเขา เป็นเด็กบ้านเดียวกัน เป็นคนของชุมชน และนั่นแหละครับคือมือที่เอื้อมถึงได้ง่ายที่สุด
‘โรงเรียนมือถือ’ จึงเป็นมากกว่านวัตกรรม แต่เป็นโอกาสในการเปิดประตูให้เด็กและเยาวชนได้เดินต่อ ในเส้นทางที่เป็นของเขาจริงๆ ดังนั้นการทำงานของ กสศ. จึงเป็นการเข้าไปส่งเสริม ภาคีเครือข่ายและหน่วยงานเครือข่ายในการทำโครงการนี้

ผลลัพธ์จากพื้นที่นำร่อง
โยเย ศรีมาลาฌ์ ยะภักดี สมาชิกและผู้ก่อตั้งนครเรืองแสง หนึ่งในผู้ทำงานร่วมกับเครือข่ายโครงการโรงเรียนมือถือรวมทั้งเยาวชน สะท้อนว่า ‘โรงเรียนมือถือ’ เป็นคำตอบที่เหมาะกับบริบทของเด็กกลุ่มที่หลุดออกจากระบบการศึกษา รวมทั้งเยาวชนที่ต้องการเรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเรียน
“เพราะเด็กกลุ่มนี้หลายคนมีข้อจำกัดในชีวิตที่แตกต่างกันไป บางคนมีฐานะยากจน บางคนต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย หรือบางคนก็เคยอยู่ในโรงเรียน แต่พบว่ารูปแบบการศึกษาทั่วไปไม่ตอบโจทย์ชีวิตเขา”
เด็กและเยาวชนบางคนมีเป้าหมายชัดเจน เช่น อยากเป็นนักกีฬา นักร้อง ต้องใช้เวลาฝึกซ้อม เดินทาง ไม่สามารถเข้าเรียนในระบบปกติได้ เด็กกลุ่มนี้จึงเลือกเรียนผ่าน ‘ศูนย์การเรียน’ ที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายการศึกษา มาตรา 12 ซึ่งช่วยให้พวกเขายังสามารถได้รับวุฒิการศึกษาได้ตามปกติ

“สิ่งสำคัญคือ เราไม่ควรมองว่าการศึกษานอกระบบมีไว้เพื่อคนยากจนหรือด้อยโอกาสเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงนี่คือ ‘การศึกษาทางเลือก’ ที่รองรับความหลากหลายของชีวิตและความฝันของมนุษย์ การเรียนควรยืดหยุ่น เหมือนการเลือกอาหารหรือปลูกต้นไม้”
เด็กและเยาวชนก็เหมือนต้นไม้คนละชนิดกัน เราเองยังคิดไม่เหมือนกัน ทั้งที่มาจากพ่อแม่คนเดียวกัน แล้วทำไมการศึกษาจะมีได้แค่แบบเดียว ในประเทศไทย วุฒิการศึกษาเป็นเหมือน ‘กุญแจ’ ที่เปิดโอกาสให้กับคนหนึ่งคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้ต่อยอดและเข้าถึงโอกาสอีกมาก
“ถ้าคุณไม่ได้ร่ำรวยหรือมีความสามารถพิเศษเฉพาะด้าน คุณจะไปต่อไม่ได้เลยในชีวิต เช่น ถ้าจะสมัครงานเซเว่น หรือโรงงาน ก็ต้องมีวุฒิ ม.3 หรือ ม.6 ถ้าจบแค่ ป.6 คุณก็จะถูกจำกัดงาน ค่าจ้างต่ำ แต่ถ้าเด็กได้วุฒิขึ้นมาเมื่อไหร่ ประตูมันเปิดหมด ทั้งการสมัครงาน การเรียนต่อ หรือการมีศักดิ์ศรีในสังคม”
สำหรับโยเย โรงเรียนมือถือจึงเป็นมากกว่าการศึกษา แต่มันคือเครื่องมือที่คืนความมั่นใจให้เด็กกลุ่มนี้ เพราะหลายคนรู้สึกมาตลอดว่าเขา ไม่เหมือนคนอื่น พอเขาได้เรียนในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ได้วุฒิ ได้รู้ว่าตัวเองมีคุณค่า ความมั่นใจก็ค่อยๆ กลับมา
และที่สำคัญไปกว่านั้น ทำให้ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ได้เห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเด็ก แต่พอเขาได้เรียนรู้ ได้ลองทำ ได้คำชี้แนะอย่างเหมาะสม เขากลายเป็นโปรแกรมเมอร์ เป็นพิธีกร เป็นนักคิด นักสร้างสรรค์ พอเด็กเห็นคุณค่าของตัวเอง ก็สามารถดึงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่
“ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่เปลี่ยนไป พ่อแม่ก็เกิดความภูมิใจ สังคมยอมรับมากขึ้น ครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และทั้งหมดนี้ก็ส่งผลไปถึงชุมชน และระดับประเทศด้วย”
ผลลัพธ์จึงไม่ได้แค่วุฒิการศึกษา แต่มันเหมือนคลื่นน้ำที่ขยายออกเรื่อยๆ จากจุดเล็กๆ ที่เริ่มจากเด็กแค่ 8 คนในตอนแรกในโครงการนำร่อง จนตอนนี้มีเด็กหลายร้อยคนทั่วประเทศเข้าร่วม และยิ่งไปกว่านั้น ชุมชนก็เริ่มตื่นตัว เริ่มมีส่วนร่วมในการดูแลเด็ก เหมือนคำที่ว่า ‘การเลี้ยงเด็กหนึ่งคนต้องใช้ทั้งหมู่บ้าน’ มันคือเรื่องจริง
เมื่อชุมชนแข็งแรง มันก็ส่งเสริมเรื่องอื่นๆ ได้อีก เราไม่ได้แค่ให้การศึกษา แต่กำลังสร้างโครงข่ายของการดูแล สนับสนุน และการเติบโตร่วมกัน
โยเยเชื่อว่า ‘โรงเรียนมือถือ’ ไม่ได้มีไว้แค่สำหรับเด็กนอกระบบ เด็กในระบบก็เรียนรู้ได้ ใช้เป็นพื้นที่เสริมการเรียนรู้ได้ เพราะทุกวันนี้แหล่งข้อมูลเปิดกว้าง และการศึกษาก็ไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนอีกต่อไป
สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่แอปหรือเทคโนโลยี เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถพังได้ ถ้าเน็ตล่ม หรือแอปล่ม วันหนึ่งมันอาจหายไป แต่สิ่งที่ยังอยู่คือ “คน”
ถ้าคนในชุมชนเข้มแข็ง เข้าใจ เห็นคุณค่าของการศึกษาที่หลากหลาย ก็จะช่วยกันดูแลเด็กๆ นั่นคือ การศึกษาที่แท้จริง การศึกษาของชุมชนที่เดินไปด้วยกัน
เสียงสะท้อนจากผู้ปกครอง
ชนาพร หงอกภิลัย ผู้ปกครองเยาวชนที่เข้าเรียนผ่านโรงเรียนมือถือ ในฐานะผู้ปกครอง ชนาพรต้องเผชิญกับความจริงว่า ครอบครัวไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะส่งลูกทั้งสองคนไปเรียนต่อในโรงเรียนได้ ลูกทั้งสองจึงต้องออกจากโรงเรียน ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงมัธยม
“หากไม่มี โรงเรียนมือถือเข้ามา เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ลูกจะมีโอกาสได้เรียนต่อหรือได้รับวุฒิการศึกษาเหมือนคนอื่นๆ หรือไม่”
เมื่อมีโอกาสได้เรียนกับโรงเรียนมือถือ เด็กๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็สามารถได้รับวุฒิการศึกษา คนหนึ่งจบระดับ ม.3 และอีกคนจบระดับ ม.2 การเรียนในโรงเรียนมือถือมีความยืดหยุ่น สามารถออกแบบการเรียนเองได้ในระดับหนึ่ง โดยมีระบบของโรงเรียนและครูคอยดูแลกำกับช่วยเหลือ ทำให้การเรียนรู้ไม่ใช่ภาระหนักเหมือนเดิม

“ก่อนหน้าที่จะได้เข้าโรงเรียนมือถือ ลูกๆ ของพี่เบียร์เคยออกจากโรงเรียนประจำ เพราะครอบครัวส่งไม่ไหว และหลังจากออกมาได้สักพัก ก็มีคุณครูตามตัวเพื่อให้กลับไปแก้ 0 แก้ ร แต่ด้วยหลายปัจจัย รวมถึงความรู้สึกอายเพื่อน เด็กๆ จึงไม่อยากกลับไปเรียนในระบบอีกแล้ว”
ด้วยเงื่อนไขหลายอย่างและปัจจัยทางเศรษฐกิจ ทางให้ชนาพรไม่ส่งลูกๆ กลับเข้าสู่โรงเรียนในระบบ แต่ก็มีความต้องการลึกๆ ให้เด็กทั้งคู่ได้เรียนมีวุฒิเหมือนเด็กคนอื่น
กระทั่งกลุ่ม ‘บ้านโฮมแสนสุข’เข้ามาทำกิจกรรมในพื้นที่ และได้แนะนำให้ลองเข้าเรียนโรงเรียนมือถือ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ชนาพรให้ความสนใจ เพราะนอกจากจะได้วุฒิการศึกษา ยังสามารถนำไปต่อยอดได้ ทั้งในเรื่องการทำงาน และการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น
“การเรียนรู้ของโรงเรียนมือถือก็มีความพิเศษ นอกจากการเรียนทฤษฎีแล้ว ยังมีกิจกรรมให้เด็กได้ร่วมทำ เช่น เวลามีกิจกรรมที่โรงเรียนริมราง นักศึกษาที่มาทำกิจกรรมก็มักจะเชิญชวนน้องๆ เข้าร่วม บอกข่าว บอกขั้นตอนการทำงาน การส่งงาน การสอบ ฯลฯ ผ่านการติดต่ออย่างใกล้ชิด ช่วยให้นักเรียนติดตามกระบวนการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา”
ในมุมของชนาพร โรงเรียนมือถือมีส่วนช่วยเหลือเด็กนอกระบบได้มาก เพราะเป็นการเรียนที่ ไม่มีค่าใช้จ่าย และยังให้โอกาสเด็กๆ ได้เรียนรู้ด้วยความยืดหยุ่น ไม่กดดันเกินไป มีครูคอยพาเรียน ทำให้ผู้ปกครองก็อุ่นใจ เพราะสามารถติดตามความคืบหน้าของลูกได้ผ่านตัวแอปโรงเรียนมือถือ สามารถดูได้ว่าลูกส่งงานทันไหม เข้าร่วมกิจกรรมไหม
“นอกจากการเรียนรู้ในห้องเรียนแล้ว โรงเรียนมือถือยังเน้นการทำกิจกรรมเสริม เช่น การพาเด็กๆ ออกไปต่างจังหวัด ต่างอำเภอ เพื่อให้ได้เจอสังคมใหม่ๆ เช่น การไปกระนวน หนองเรือ สีชมพู กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแค่เพิ่มประสบการณ์ แต่ยังช่วย สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ด้วย”
ในอนาคต ชนาพรหวังว่าโรงเรียนมือถือจะพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ โดยอยากเห็นการเพิ่มกิจกรรมนอกสถานที่ควบคู่ไปกับการเรียนในห้องเรียน เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ออกไปเห็นโลกกว้าง ได้เจอสิ่งใหม่ที่เป็นแรงผลักดันให้พวกเขาอยากเรียนรู้และเติบโตมากยิ่งขึ้น
