เบื้องหลังระเบียบวินัย ที่หล่อหลอมพฤติกรรม เทคติก ที่สร้างสมองให้คิดเกม ลีลาการทำเกม ที่บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ และความแข็งแรงที่สร้างพลังให้ไม่ยอมแพ้ ของน้อง ๆ ทีมฟุตบอล กสศ. จากลำปาง ที่ได้ลงฟาดแข้งในรายการฟุตบอลนัดพิเศษ การแข่งขันฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7HD 2025 เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
ตัวละครสำคัญทำหน้าที่ปิดทองหลังพระมาตลอดอย่าง ‘จ่าเย็น’ มงคล ทศไกร อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ที่มาร่วมเป็น “เครือข่ายเพื่อน กสศ.” สวมบทโค้ชทีมฟุตบอล กสศ. ที่ดูแลเด็กๆ ตลอด 2-3 เดือนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การฝึกซ้อมเช้า-เย็น ก่อนนอนฝึกสมาธิสร้างสติ


จ่าเย็น บอกว่า สิ่งที่เห็นจากการร่วมฝึกซ้อมกับเด็ก ๆ คือพวกเขาทุกคนมีความฝัน แต่หลายคนกลับต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งด้านเวลาและสภาพแวดล้อม เช่น การเดินทางที่ยากลำบาก ไม่มีสนามหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม ทำให้เด็ก ๆ ไม่สามารถฝึกซ้อมได้เต็มที่ หากมีสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เขาจะสามารถพัฒนาได้ไกลกว่านี้มาก
อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ที่อดีตทีมชาติไทย ต้องกล่าวถึงและให้ความสำคัญมาก คือ “เรื่องระบบการศึกษาที่ยังไม่ยืดหยุ่นพอ” เด็กหลายคนต้องเลือกว่าจะเรียนหรือเล่นกีฬา เพราะตารางเรียนแน่น ทำให้ไม่มีเวลาโฟกัสกับสิ่งที่รักจริง ๆ ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ควรปรับให้สอดคล้องกับศักยภาพของเด็กแต่ละคน เด็กสามารถเรียนไปพร้อมกับพัฒนาทักษะด้านกีฬาได้ เช่น เรียนหลักสูตรยืดหยุ่นที่เน้นการพัฒนาทั้งด้านวิชาการและกีฬาควบคู่กัน
“ช่วงแรกที่เราเริ่มฝึก เด็ก ๆ หลายคนยังไม่เห็นภาพอนาคตของตัวเอง ไม่รู้ว่าการเป็นนักกีฬาต้องทำอย่างไร บางคนรู้สึกว่าซ้อมไปโดยไม่มีเป้าหมาย แต่เมื่อเขาเริ่มเห็นโอกาสจากการได้แข่งขันหรือได้ออกมาโชว์ฝีมือ ความตั้งใจของเขาก็เริ่มชัดขึ้น เห็นได้ชัดว่า “เป้าหมาย” และ “แรงบันดาลใจ” คือสิ่งสำคัญมาก”

อุปสรรคอีกอย่างที่จ่าเย็น ได้เห็นคือเรื่องเศรษฐกิจ เด็กบางคน เช่น “น้องจัมโบ้” ต้องหยุดเล่นฟุตบอลไปทำงานโต๊ะจีน เพราะต้องช่วยครอบครัวหารายได้ และคือคำตอบของชีวิต ทำให้เขาขาดโอกาส ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเขาได้เรียนต่อ โอกาสในชีวิตก็จะเปิดกว้างมากกว่าเดิม ตรงนี้คือเรื่องสำคัญที่จ่าเย็นพูดอย่างหนักแน่นตลอดบทสทนาคือ ระบบการศึกษาควรเปิดโอกาสให้เด็กกลุ่มนี้มากขึ้น ทั้งในเรื่องความยืดหยุ่นและการสร้างแรงจูงใจให้เขาเห็นคุณค่าของการเรียนควบคู่กับการพัฒนาทักษะกีฬา
สิ่งที่ขาดอีกอย่างคือ “ทรัพยากร” เด็กต่างจังหวัดจำนวนมากมีความสามารถสูง แต่ขาดการสนับสนุน เช่น อุปกรณ์กีฬา สนามซ้อม หรือโค้ชที่มีความรู้ เมื่อพวกเขาได้มีโอกาสเข้ามาเล่นในเมือง แข่งขันกับนักกีฬาที่ซ้อมทุกวัน จะเห็นเลยว่าพวกเขาเก่งไม่แพ้ใคร เพียงแต่ยังไม่มีพื้นที่ให้แสดงศักยภาพออกมาเท่านั้น
จ่าเย็นบอกอีกว่า โครงการฯ นี้สร้างแรงบันดาลใจและชักนำน้องที่อยู่นอกระบบได้กลับเข้ามาร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ดนตรี ศิลปะ ฯลฯ

“เราได้เห็นเค้าในวันแรกตั้งแต่ไม่เป็นเลย มาจนถึงวันที่เค้าเข้าใจกีฬาฟุตบอลมากขึ้น ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่ต้นเก่ง ผมก็เหมือนกัน เค้าพยายามเรียนรู้ในสิ่งที่เราให้ สิ่งที่เราบอก เด็กกลุ่มนี้ตั้งใจมาก อยากทำเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เค้าสู้มากกว่าปกติ สู้กับคำดูถูกต่างๆ มันช่วยได้เยอะ” อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย การันตีว่า หากเราสามารถส่งเสริมเรื่องโอกาส ความเข้าใจ และทรัพยากรให้ถึงเด็กกลุ่มนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียนหรือในชุมชนทั้งเด็กในระบบและนอกระบบการศึกษา ก็จะช่วยให้ “ช้างเผือกในป่าใหญ่” เหล่านี้ได้ออกมาเปล่งประกาย และสามารถเดินตามความฝันของตัวเองได้จริง และอาจจะเก่งกว่า “ช้างบ้าน”
แพ้อย่างเดียวแต่ชนะทุกอย่าง
ในฐานะโค้ช จ่าเย็นบอกว่าการมาแข่งที่กรุงเทพฯ หนนี้มีอย่างเดียวที่แพ้คือแต้ม นอกนั้นเด็กๆ ชนะหมด
“ในสนามมีสิ่งเดียวที่เค้าแพ้คือสกอร์ แต่สิ่งที่ผมเห็นคือเค้าเอาชนะใจตัวเอง เอาชนะขีดความสามารถที่เค้าเคยมี เอาชนะทุกอย่างที่เค้าไม่เคยคิดว่าจะเอาชนะได้”
และความพ่ายแพ้มักจะสอนอะไรมากกว่าชัยชนะเสมอ

“ทำให้น้องๆ รู้ว่ายังมีคนที่เก่งกว่าเค้า กำลังมีคนที่ทำงานหนักกว่าเค้า การพ่ายแพ้มันคือบทเรียน คือความผิดพลาด กีฬาฟุตบอลใครผิดพลาดมากกว่าก็แพ้ไป การพ่ายแพ้มันทำให้เรากลับมาแข็งแกร่งขึ้นได้ และพยายามปรับปรุงแก้ไขส่วนที่เราผิดพลาด ให้เหลือน้อยที่สุด ถ้าใครผิดพลาดน้อยสุดคนนั้นคือผู้ชนะ” จ่าเย็นบอก