ทำไมนักพากย์บอลถึงจบ ม.6 ได้ โดยไม่ต้องเลิกทำงาน เจาะกลไกการศึกษายืดหยุ่นของโรงเรียนพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ที่ใช้หัวใจมองลึกความต้องการของเด็กๆ

ทำไมนักพากย์บอลถึงจบ ม.6 ได้ โดยไม่ต้องเลิกทำงาน เจาะกลไกการศึกษายืดหยุ่นของโรงเรียนพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ที่ใช้หัวใจมองลึกความต้องการของเด็กๆ

โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์ จังหวัดกาญจนบุรี 
เริ่มปรับการจัดการเรียนรู้สู่ระบบ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” อย่างจริงจังในปีการศึกษา 2567 เพื่อรองรับเด็กที่ไม่สามารถเรียนตามตารางปกติได้ ระบบนี้ช่วยประคองเด็กที่เสี่ยงหลุดออกจากการศึกษาให้กลับมาเดินต่อในเส้นทางการเรียนรู้ และยังคงมองเห็นโอกาสในการศึกษาต่อ แม้ชีวิตจะมีข้อจำกัดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ความยืดหยุ่นคือการเปลี่ยนระบบ ไม่ใช่ลดมาตรฐาน
โมเดล “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” ทำให้เด็กอย่างไพศาลทำงานไปพร้อมกับเรียนจนจบ ม.6 ได้ โรงเรียนปรับโครงสร้างการเรียนให้สอดคล้องกับเวลาชีวิต เพื่อพาเด็กไปถึงปลายทางจริง

เมื่อชีวิตคือพื้นที่เรียนรู้ การประเมินต้องยุติธรรมกับชีวิตนั้น
โรงเรียนยอมรับประสบการณ์ทำงานและชีวิตประจำวันเป็นหลักฐานการเรียนรู้ เทียบกับตัวชี้วัดอย่างเป็นระบบ การเรียนรู้จึงไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนอีกต่อไป

ในหลายพื้นที่ของเมืองไทย เด็กหายไปจากโรงเรียนไม่ใช่เพราะไม่อยากเรียน หากแต่เพราะชีวิตเจอความท้าทายก่อนวัยอันควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความสับสน หรือแม้กระทั่งเรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่พร้อม

แต่เมื่อระบบการศึกษาส่วนใหญ่ยังตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า เด็กทุกคนมีชีวิตคล้ายกัน มีเวลาเหมือนกัน และคงเติบโตไปในเส้นทางที่ไม่ต่างกันมาก แต่เมื่อความจริงแล้วสมมติฐานนี้ถือว่าไม่สอดคล้อง มีเด็กหลุดออกไปจากระบบการศึกษาเสมอ เรื่องน่าใจหายกว่านั้น…เด็กจำนวนหนึ่งก็หายไปโดยแทบไม่มีใครสังเกต

โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นตัวอย่างของพื้นที่ซึ่งสังเกตเห็นปรากฏการณ์หลุดหายไปจากระบบของเด็กกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ แต่สิ่งที่โรงเรียนทำคือ เลือกที่จะไม่ปล่อยมือหรือละทิ้งพวกเขา โรงเรียนแห่งนี้ยอมรับว่าชีวิตของเด็กจำนวนมากไม่สามารถเดินตามตารางเรียนแบบเดิมได้อีกต่อไป และหากโรงเรียนไม่ปรับตัว เด็กก็จะเป็นฝ่ายเสียโอกาสเพียงลำพัง

เรื่องของไพศาล เด็ก 17 ที่หายไปจากห้องเรียนเพราะต้องทำงาน และกลับมาได้อีกครั้ง คือหนึ่งในเรื่องราวที่ทำให้เห็นภาพชัดที่สุดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าอย่างไร

ไพศาล

ชีวิตที่บังคับให้หายไปจากห้องเรียน

ไพศาลเรียนจบ ม.3 ได้ตามปกติ พอขึ้น ม.4 เขาเริ่มขาดเรียนถี่ขึ้น แล้วก็หายไปเลยทั้งเทอม ไม่ใช่เพราะไม่อยากเรียน แต่เพราะที่บ้านมีคุณยาย คุณตา กับคุณแม่ที่ไม่มีรายได้ประจำ เขาจึงต้องกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่อายุยังไม่ถึงบรรลุนิติภาวะ

งานที่ไพศาลทำคือ “นักพากย์ฟุตบอลเดินสาย” รายได้วันละ 1,500-2,000 บาท งานมีทั้งสัปดาห์ สนามแข่งกระจายตั้งแต่สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี ไปจนถึงเมืองกาญจน์ การเดินทางกินเวลา กลับดึกเป็นเรื่องปกติ และวันทำงานมักทับซ้อนกับตารางเรียน

“ตอนนั้นคิดแล้วครับว่าไม่จบ ม.6 แน่นอน” เขาพูดตรง ๆ เพราะในชีวิตจริง การเลือกทำงานก่อนเรียนไม่ใช่เรื่องดื้อรั้น มันคือการทำให้ครอบครัวอยู่รอด

ดร.นุชนาถ สอนสง

จุดที่โรงเรียนหยุดโทษเด็ก แล้วตั้งคำถามกับตัวเอง

ดร.นุชนาถ สอนสง ผู้อำนวยการคนใหม่ของโรงเรียนโรงเรียนพนมทวนฯ บอกว่าตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา เธอเจอรายชื่อเด็กที่หลุดออกจากระบบเยอะมาก บางคนหายไปเพราะต้องทำงาน บางคนเพราะครอบครัวแยกทาง บางคนต้องดูแลผู้ป่วย บางคนกลายเป็นแม่วัยใส ขณะเดียวกัน เด็กกลุ่มติด 0 ร. มส.​ก็มีจำนวนสูงและจบไม่ถึงปลายทาง

“เรารู้ทันทีว่าถ้าปล่อยแบบนี้ เด็กพวกนี้จะไม่มีวันกลับมาสู่ระบบการศึกษาอีกเลย”

สิ่งแรกที่เธอทำคือเรียกครูทั้งโรงเรียนมาคุยกัน ตั้งเป้าหมายเดียวกันว่าโรงเรียนต้องเปิดโอกาสใหม่ให้เด็กกลุ่มที่กำลังหลุด หรือหลุดไปแล้ว

ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนจึงประกาศใช้ระบบ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” เต็มรูปแบบ การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่แค่การอนุญาตให้เด็กเรียนแบบอื่น แต่คือการพลิกทั้งโครงสร้างคิดของโรงเรียน ตั้งแต่การสอน การประเมิน ไปจนถึงบทบาทของครูและฝ่ายวิชาการ

ผลปรากฏชัดในปีแรก โรงเรียนตามเด็กกลับมาได้ 23 คน และจบภาคบังคับสำเร็จ 10 คน ไม่ใช่แค่พากลับมา แต่พากลับมาจนถึงเส้นชัยด้วย

ครูกาญจนา จันทร์ฤทธิ์ และไพศาล

โอกาสใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นผ่านบทสนทนาทางโทรศัพท์ 

วันที่ครูกาญจนา จันทร์ฤทธิ์ ครูผู้ดูแลประสานงานเคสการศึกษายืดหยุ่น ประจำโรงเรียนพนมทวนฯ โทรหาไพศาล เขาฟังเงียบๆ คิดไม่นานก่อนตอบกลับว่า “ขอลองดูครับ” เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีระบบการเรียนที่ไม่บังคับให้เขาเลิกทำงาน

เขาเข้าสู่การศึกษายืดหยุ่นทันที เลือกเรียนแบบออนแฮนด์เป็นหลัก รับใบงานกลับไปทำที่บ้าน ค้นข้อมูลเองผ่านกูเกิล คุยกับครูผ่านไลน์เมื่อมีข้อสงสัย และมาเรียนออนไซต์เฉพาะวันพฤหัสบดี หรือตามความจำเป็น

“มันแฟร์กับชีวิตผมที่สุด” เขาพูดอย่างนั้น

การเรียนของเขาจึงไม่ใช่การ “กลับเข้ามานั่งในโต๊ะเรียน” แต่เป็นการทำให้การศึกษาย้ายไปอยู่ในเวลาชีวิตของเขาอย่างแท้จริง

เมื่อประสบการณ์ชีวิตกลายเป็นการเรียนรู้

หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของโรงเรียนพนมทวนฯ คือการ “เทียบประสบการณ์จริงเป็นหน่วยการเรียนรู้” เด็กไม่ได้ถูกวัดผลจากการสอบแบบเดียวอีกต่อไป แต่จากสิ่งที่เขาทำจริงในชีวิตประจำวัน

งานนักพากย์ฟุตบอลของไพศาล ที่หลายโรงเรียนอาจมองว่าเป็น “งานนอกเวลาเรียน” ถูกครูวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ แล้วจับคู่กับตัวชี้วัดรายวิชา เช่น ภาษาไทยเรื่องการใช้ภาษา การเล่าเรื่อง การสื่อสาร ทักษะการคิดวิเคราะห์จากการอ่านเกมและการวิเคราะห์สถานการณ์ สังคมศึกษาเรื่องบริบทพื้นที่ การเข้าใจผู้คน การทำงานร่วมกับทีม รวมถึงทักษะชีวิตอย่างการบริหารเวลา ความรับผิดชอบ และการทำงานภายใต้แรงกดดัน

การเทียบเช่นนี้ไม่ใช่การลดมาตรฐาน แต่เป็นการยอมรับว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเกิดในห้องเรียนเสมอไป และชีวิตของเด็กบางคนคือหลักฐานการเรียนรู้ที่ชัดเจนกว่าข้อสอบปลายภาคหลายเท่า

โรงเรียนสร้างพื้นที่ใหม่ เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้มีที่ยืน

การศึกษายืดหยุ่นทำไม่ได้ด้วยใจอย่างเดียว ต้องมีโครงสร้างรองรับจริง โรงเรียนพนมทวนฯ จึงสร้าง “ห้องชนูปถัมภ์ให้โอกาส” แยกจากห้องเรียนทั่วไป ติดแอร์ มีไวไฟ มีทีวี มีคอมพิวเตอร์ และจัดโต๊ะเรียนในบรรยากาศที่ไม่กดดัน

เด็กที่เคยหลุดออกไปจึงไม่ต้องเผชิญสายตาตัดสิน ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเปรียบเทียบกับเพื่อน และสามารถกลับมาเรียนในสภาพที่ปลอดภัยและเป็นมิตรที่สุดเท่าที่โรงเรียนจัดให้ได้

ครูกาญจนาบอกว่า “เด็กในโครงการนี้เกือบ 90% มาจากครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน การสอนอย่างเดียวไม่พอ ครูต้องเป็นที่พึ่งของเขาด้วย”

ครูต้องปรับตัวมากกว่าที่คิด แต่ผลลัพธ์ทำให้ทุกอย่างคุ้มค่า

การศึกษายืดหยุ่นไม่ได้แค่เพิ่มทางเลือกให้เด็ก แต่เพิ่มภาระให้ครูทุกคนอย่างมาก ครูต้องออกแบบใบงานใหม่ ประเมินรายบุคคล เทียบประสบการณ์ชีวิตกับตัวชี้วัด ประสานงานผู้ปกครอง ติดตามงานที่เด็กส่งมาแบบไม่ตรงเวลา และพร้อมตอบคำถามเด็กทางไลน์ทุกช่วงเวลา

แต่ครูส่วนใหญ่เปิดใจ เพราะเห็นว่าเด็กที่พวกเขาช่วยจบได้จริง และความสำเร็จของเด็กคือคำตอบว่าทุกความเหนื่อยนั้นมีความหมาย

“เวลามีเด็กจบเพิ่มทีละคน เรารู้เลยว่ามันคุ้มมาก” ครูกาญจนาเสริม

ระบบภายในต้องยืดหยุ่นกับเด็ก แต่แข็งแกร่งกว่าที่เคย

แม้โมเดลนี้จะยืดหยุ่นต่อเด็ก แต่โรงเรียนต้องเข้มกับระบบภายในมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง ฝ่ายวิชาการต้องจัดตัวชี้วัดรายคน ฝ่ายวัดผลต้องเทียบประสบการณ์ให้ถูกต้อง ครูทุกคนต้องส่งใบงานครบ และโรงเรียนต้องติดตามการเรียนของเด็กอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้ “ช่องว่างของความยืดหยุ่น” กลายเป็น “ความหลวมจนไร้มาตรฐาน”

ดร.นุชนาถ สอนสง ผู้อำนวยการโรงเรียน ย้ำเสมอว่า “เราไม่ได้ทำให้เด็กจบง่ายขึ้น แต่ทำให้โอกาสของเขาไม่ถูกปิดเพราะชีวิตที่เขาเลือกไม่ได้”

การศึกษายืดหยุ่นในบริบทกาญจนบุรี: ความจำเป็น ไม่ใช่ความหรูหรา

กาญจนบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีเด็กทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยจำนวนมาก หลายครอบครัวอยู่ในชนบทที่การเดินทางลำบาก บางบ้านไม่มีผู้ปกครองดูแลเต็มเวลา และหลายกรณีเด็กต้องกลายเป็นผู้หารายได้หลัก

ในบริบทเช่นนี้ การศึกษายืดหยุ่นไม่ใช่โครงการสำหรับ “เด็กพิเศษ” แต่เป็นกลไกที่จะลดการหลุดออกจากระบบในระดับพื้นที่อย่างจริงจัง

พนมทวนฯ กลายเป็นโรงเรียนที่ถูกกล่าวถึงในหลายอำเภอ โรงเรียนอื่นเริ่มเข้ามาขอดูงาน เพราะเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เด็กกลับมาเรียน จบการศึกษา และยังคงทำงานได้ในเวลาเดียวกัน

เด็กคิดอย่างไรถ้าไม่มีนโยบายนี้?

ไพศาลตอบคำถามนี้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถ้าไม่มีนโยบายนี้ ผมคงไม่ได้เรียนต่อแล้วครับ คงทำงานอย่างเดียว แล้วอนาคตก็คงไปได้แค่ทางนั้นทางเดียว”

วันนี้เขายังพากย์บอลเหมือนเดิม รายได้ยังมั่นคง แต่เขากำลังสะสมหน่วยกิตเพื่อจบ ม.6 และมองไกลไปถึงการทำช่องกีฬา การพากย์ระดับประเทศ และการสร้างอาชีพที่ยืนยาวขึ้นกว่าเดิม

การศึกษายืดหยุ่นไม่ได้หยุดเขาจากการทำงาน แต่มันทำให้เขามีอนาคตมากกว่าหนึ่งเส้นทาง

บทเรียนที่โรงเรียนอื่นควรนำไปใช้

สิ่งที่โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์ ทำสำเร็จภายในเวลาไม่นาน แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนใดจะทำแบบเดียวกันได้ หากมีองค์ประกอบสำคัญพอสมควร ผู้บริหารต้องนำด้วยวิสัยทัศน์ ไม่ใช่ด้วยความกลัว ครูต้องมีระบบสนับสนุน ไม่ใช่ถูกสั่งให้ทำลำพัง ประสบการณ์ชีวิตต้องถูกแปลงเป็นหน่วยการเรียนรู้ได้ ระบบประเมินต้องยุติธรรมกับชีวิตจริง โรงเรียนต้องไม่ตีตราเด็กที่เคยหลุด และต้องตั้งเป้าหมายเดียวกันว่าเด็กทุกคนสามารถจบการศึกษาได้จริง

เมื่อองค์ประกอบทั้งหมดทำงานร่วมกัน การศึกษายืดหยุ่นจึงไม่ใช่แค่โครงการ แต่เป็นโครงสร้างใหม่ของโรงเรียน-ที่เกิดขึ้นได้จริง

นอกจากเรื่องราวการศึกษายืดหยุ่นของโรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์ ที่สร้างแรงบันดาลใจแล้ว ชวนติดตามอ่านเรื่องราวสัมภาษณ์เจาะลึก “ไพศาล: เด็กยืดหยุ่นนักพากย์บอล” ได้ที่เพจ กสศ. เร็วๆ นี้

โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์ จังหวัดกาญจนบุรี ขับเคลื่อนระบบ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” ตั้งแต่ปีการศึกษา 2567 แนวทางนี้ช่วยลดการหลุดออกจากระบบ และเปิดโอกาสให้เด็กมีอนาคตทางการศึกษาต่อได้ โดยไม่ถูกปิดทางเพราะเงื่อนไขชีวิต

หากโรงเรียนหรือครูต้องการข้อมูล หรือคำแนะนำเชิงปฏิบัติในการจัดการศึกษายืดหยุ่น
สามารถปรึกษาแบบตัวต่อตัวได้ที่ LINE OA กสศ.การศึกษายืดหยุ่น คลิก