เด็กหญิงที่เคยนั่งเผาถ่านกับยาย กลายมาเป็นแสงไฟดวงเล็กในบ้านของเด็กอีกหลายคน : บทสัมภาษณ์ เจนจิรา ไทยยิ่ง ครูโรงเรียนบ้านลำดวนพัฒนา อ.ปราสาท จ.สุรินทร์

เด็กหญิงที่เคยนั่งเผาถ่านกับยาย กลายมาเป็นแสงไฟดวงเล็กในบ้านของเด็กอีกหลายคน : บทสัมภาษณ์ เจนจิรา ไทยยิ่ง ครูโรงเรียนบ้านลำดวนพัฒนา อ.ปราสาท จ.สุรินทร์

กลางทุ่งนา อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โรงเรียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งมีนักเรียนประมาณ 130 คน ตั้งแต่อนุบาลถึงประถม และมีครู 7 คน หมุนเวียนดูแลเด็กทั้งโรงเรียนเหมือนบ้านขนาดใหญ่ที่มีเด็กหลากหลายรุ่น หลายความจำเป็น และหลายเรื่องราวที่รอการมองเห็น

ในโรงเรียนหลังนี้ ครูเจนจิรา ไทยยิ่ง คือหนึ่งในครูที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ไม่เคยทำหน้าที่แบบธรรมดาเลย

ที่นี่ ไม่ใช่แค่ที่เรียนหนังสือ แต่คือที่ที่เด็กบางคนได้กินข้าวเช้าเป็นมื้อแรก ที่ที่มีคนสังเกตว่าเขาใส่ถุงเท้าขาด ๆ มาเรียน ที่ที่ครูรู้ว่าเด็กบางคนไม่ยิ้มเหมือนเมื่อวาน และที่ที่ครูเลือกจะนั่งลงข้างเขาเงียบ ๆ แล้วฟัง

เรื่องราวต่อไปนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของครูคนหนึ่งกับเด็กกลุ่มหนึ่ง แต่คือภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำ ความรัก และความหวังที่ยังคงงอกงามอยู่เงียบ ๆ ใต้หลังคาโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในสุรินทร์

ถุงเท้าขาดที่ครูไม่ตำหนิ

เช้าวันนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งเดินเข้าห้องเรียนมาด้วยรอยยิ้มเจือน ๆ เหมือนพยายามจะซ่อนบางอย่างไว้ใต้ท่าทีสดใส ครูเจนจิรา ไทยยิ่ง สังเกตเห็นถุงเท้าของเธอขาดจนเห็นนิ้วเท้าทุกนิ้วโผล่ออกมา ครูไม่ได้พูดอะไรทันที ไม่ได้ถามว่าทำไม ไม่ได้ตำหนิเรื่องระเบียบวินัย แต่ในใจกลับสะดุดคำถามหนึ่ง: “แล้วเมื่อคืนหนูเข้านอนยังไง”

ถุงเท้าที่ขาดจนเห็นเนื้อเท้า ไม่ได้บอกแค่ความจน มันเล่าถึงระบบที่คิดว่า ‘เรียนฟรี’ จะเพียงพอ ทั้งที่หนึ่งชุดนักเรียนไม่เคยพอสำหรับเด็กคนหนึ่งตลอดทั้งปี

เด็กบางคนอาจพยายามซ่อนรอยขาดไว้ใต้รองเท้า หรือเดินเร็ว ๆ ไม่ให้ใครสังเกตเห็น แต่สายตาของครูที่มองเห็นอย่างอ่อนโยน กลับแตะเข้าไปถึงความเปราะบางที่สุดในใจเด็ก

และในวันถัดมา ถุงเท้าคู่ใหม่ก็มาถึงมือเธอโดยไม่มีคำพูด ไม่มีการตำหนิ ไม่มีใครต้องอาย เพราะมันไม่ใช่แค่การให้ของ แต่มันคือการสื่อสารว่า “หนูมีค่า และครูเห็นหนู”

ครูที่ในวัยเด็กไม่เคยมีเสื้อผ้าเป็นของตัวเองเลยสักชุด

ไม่มีใครเลือกได้ว่าจะเกิดมาพร้อมหรือเปล่า แต่บางคนเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนความไม่พร้อมให้กลายเป็นพลังหรือไม่

ครูเจนจิราเคยเป็นเด็กหญิงที่ยืมจักรยานจากโรงเรียน ยางแตก ล้อหลุด ปั่นไปโรงเรียนทุกวันด้วยเงิน 5 บาทที่ยายให้ไว้จากการเผาถ่านขาย

แม่เสียตอนเธออายุ 4 ขวบ พ่อตามไปตอนเธอ 5 ขวบ เหลือเพียงตายายที่ไม่รู้แม้แต่ ก ไก่ ข ไข่ แต่กลับเป็นคนที่เธอบอกว่า “ไม่เคยให้ขาดความอบอุ่น”

“หนูไม่เคยมีเสื้อผ้าของตัวเองเลยสักชุดค่ะ ได้จากครูที่ลูกเรียนจบแล้วมาบริจาคให้”

เธอรู้ว่าเสื้อผ้ามือสองไม่ได้แค่ห่อหุ้มร่างกาย แต่มันคือเกราะเล็ก ๆ ที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งยังกล้าไปโรงเรียน

วันนี้ ในวันที่เธอเป็นครู ความขาดแคลนในอดีตไม่กลายเป็นแผล แต่กลายเป็นแรง

แรงที่ทำให้เธอไม่เคยมองข้ามรอยขาดเล็ก ๆ บนถุงเท้าของเด็กคนไหนเลย

ระบบดูแลนักเรียนที่เริ่มจากการยอมรับว่า ‘เราไม่รู้’

ตอนที่ครูเจนจิราเริ่มทำงาน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านลำดวนพัฒนา บอกกับเธอว่า “ให้ดูแลงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนนะ”

ในห้วงวินาทีนั้น เธอไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนอะไรได้จริงไหม แต่เธอตอบตกลง และเริ่มจากสิ่งง่ายที่สุด: เดินไปหาชีวิตเด็กให้เจอ

ครูเจนจิราเริ่มลงเยี่ยมบ้านเด็กนักเรียนจนครบ 100%

บางบ้านมีแต่ตากับยายวัย 70 ที่อ่านหนังสือไม่ออก บางบ้านเป็นกระต๊อบไม้เก่าโทรม บางบ้านมีเด็กผู้หญิงที่ต้องนอนปะปนกับวัยรุ่นชายในบ้านที่ไม่มีแม้แต่ประตู กำแพงเป็นแค่สังกะสีครึ่งลำตัว

บ้านที่ไม่มีหนังสือ ห้องนอนที่ไม่มีผนัง อ้อมกอดที่ไม่มีคนกอด นั่นคือบริบทที่เด็กต้องกลับไปอยู่หลังเลิกเรียน

และเธอรู้ทันทีว่า การสอนจะไม่มีวันได้ผล ถ้าชีวิตของเด็กยังไม่ปลอดภัย และยังไม่มีใครเห็น

บางครั้ง ระบบการดูแลไม่ได้เริ่มจากคู่มือหรือแบบฟอร์ม แต่มันเริ่มจากประโยคง่าย ๆ ว่า “เราไม่รู้” แล้วลงมือออกเดินไปหาคำตอบ

บ้านสังกะสี: เมื่อการไปเยี่ยมบ้าน คือการลงพื้นที่หัวใจ

“บ้านหลังนั้นมีเด็กผู้หญิงของเราอยู่” ครูเจนเล่า “รอบบ้านเป็นสังกะสีครึ่งตัว ไม่มีห้องนอน เด็กนอนรวมกับวัยรุ่นชายที่ไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ”

ที่นั่นไม่มีประตู ไม่มีผนัง ไม่มีการแบ่งห้อง ไม่มีความปลอดภัย และไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนหนึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างไรในความเปลือยเปล่าเช่นนั้น

บางวันครูได้กลิ่นกัญชาลอยจากรอบ ๆ บ้าน บางวันเด็กพูดน้อยลงอย่างมีนัย บางวันเด็กไม่มีข้าวเช้ากินก่อนมาโรงเรียน

ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องของ ‘ปัญหาทางวินัย’ แต่คือคำขอความช่วยเหลือโดยที่เด็กไม่รู้ว่าจะพูดยังไง

การไปเยี่ยมบ้าน จึงไม่ใช่แค่การ ‘เยี่ยม’ แต่คือการเดินเข้าไปในพื้นที่ของชีวิตเด็ก ไปเห็นสิ่งที่เด็กไม่กล้าพูด ไปฟังสิ่งที่บ้านไม่อาจบอก และกลับออกมาพร้อมคำถามที่หนักแน่นกว่าเดิมว่า “เราจะช่วยยังไงได้บ้าง”

และคำตอบของคำถามนั้น ก็ไม่เคยเป็นแค่ ‘สอนให้ดีขึ้น’ หรือ ‘ลงโทษให้เข็ด’ แต่มันคือการพยายามทำให้โรงเรียนกลายเป็น ‘บ้านอีกหลัง’ ที่เด็กปลอดภัยพอจะฝัน และกล้าพอจะพูดถึงความเจ็บปวดของตัวเอง

ในห้องเรียนหลังเล็ก ๆ นี้ ครูเจนพยายามสร้างพื้นที่ที่มีผนังของความเข้าใจ ประตูของความไว้ใจ และมุ้งลวดของความรักที่กันพลังลบจากโลกภายนอกได้บางส่วน  แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม

เพราะในโลกที่เด็กบางคนต้องนอนโดยไม่มีฝา ไม่มีผ้าห่ม ไม่มีใครรับฟัง แค่มีใครบางคนยอมเดินเข้าไปดู ก็อาจเปลี่ยนชีวิตเขาได้แล้ว

PLC ไม่ใช่ประชุมวิชาการ แต่คือเวทีเยียวยา

หลังจากกลับมาจากบ้านสังกะสีหลังนั้น ครูเจนจิราไม่ได้เก็บความรู้สึกไว้คนเดียว

ในเวทีประชุมครูทั้งโรงเรียน หรือที่เรียกกันในภาษาเทคนิคว่า PLC — Professional Learning Community — เธอนำเรื่องราวของเด็กหญิงคนนั้นมาเล่า

เธอไม่ได้เล่าเพื่อขอคะแนนสงสาร แต่เพื่อให้ระบบการศึกษาช่วยเยียวยาอย่างแท้จริง

เวที PLC ที่มักถูกเข้าใจว่าเป็นแค่พื้นที่พูดเรื่องวิชาการ กลับกลายเป็นที่ที่ครูคนหนึ่งกล้าบอกเล่าว่า “บ้านหลังนี้ไม่มีประตู” และที่ที่ ผู้อำนวยการโรงเรียนตอบกลับว่า “เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉย ๆ”

จากวันนั้น เสียงของครูกลายเป็นแรงกระเพื่อมเล็ก ๆ ที่ไหลออกไปสู่ผู้นำชุมชน

อบต. อบจ. และชาวบ้านในพื้นที่ เริ่มรวมพลังกันเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไม่ได้

เงินทุนเล็ก ๆ ถูกระดม ห้องนอนใหม่ถูกสร้าง กำแพงถูกกั้น เด็กหญิงมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง และคนในชุมชนก็ร่วมกันเฝ้าระวังไม่ให้บ้านนั้นกลายเป็นแหล่งมั่วสุมอีกต่อไป

ทั้งหมดนี้ไม่เกิดขึ้นในเวทีอภิปรายเชิงนโยบาย ไม่ได้เริ่มจากกระทรวงหรือบอร์ดวางแผน

แต่มันเริ่มจากครูคนหนึ่ง ที่ไม่ปล่อยให้บ้านสังกะสีเป็นเพียงภาพที่ติดตา แล้วกลายเป็นแค่ “เรื่องที่น่าเศร้าอีกเรื่องหนึ่งในระบบ”

ในโรงเรียนชนบท PLC ไม่ใช่เรื่องของกลยุทธ์การสอน ไม่ใช่แค่แผนการจัดการเรียนรู้ หรือคำศัพท์เทคนิคที่สวยหรู

มันคือเวทีของมนุษย์ ที่คนทำงานจริงได้เจอกัน ฟังกัน และร่วมกันคิดว่า “วันนี้เราจะทำให้เด็กคนหนึ่งรู้สึกปลอดภัยขึ้นได้ยังไง” และนั่นไม่ใช่แค่การพัฒนาคุณภาพการศึกษา แต่มันคือการลงมือเปลี่ยนแปลง คุณภาพของชีวิต จริง ๆ

ความเหลื่อมล้ำที่สอนด้วยรองเท้า และถุงเท้าขาด

ในห้องเรียนเดียวกัน เด็กบางคนมีรองเท้าผ้าใบใหม่เอี่ยมที่ยังไม่ทันเปื้อนฝุ่น เดินอย่างมั่นใจบนพื้นซีเมนต์ที่ร้อนระอุ ขณะที่อีกคนสวมรองเท้าแตะขาด ๆ ที่ปิดนิ้วไม่มิด ถุงเท้าที่สวมก็ขาดจนเห็นส้นเท้าโผล่ทะลุผ้า

บางครั้ง ครูเจนได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ว่า “คุณครูขา วันนี้หนูไม่มีตังค์กินขนมค่ะ”

ประโยคสั้น ๆ แต่กระเทาะใจครูทุกครั้งที่ได้ยิน

สำหรับผู้ใหญ่บางคน นี่อาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แค่ขนมถุงเดียว แค่รองเท้าคู่หนึ่ง แค่ถุงเท้าขาด ๆ แต่สำหรับเด็กคนนั้น นี่คือความแตกต่างที่เขารู้สึกได้ทุกเช้าเมื่อยืนข้างเพื่อนในแถวหน้าเสาธง และเพราะเคยเป็นเด็กที่ต้องรอเสื้อมือสอง ครูเจนจึงรู้ดีว่าความแตกต่างนี้เจ็บแค่ไหน เธอจึงเริ่มต้นจัด “ผ้าป่าเพื่อการศึกษา” ร่วมกับศิษย์เก่าและชุมชนทุกปี เพื่อหาทุนซื้อชุดนักเรียน รองเท้า ถุงเท้าให้เด็ก ๆ ที่ขาดแคลน

ไม่มีชื่อผู้บริจาคติดป้าย ไม่มีพิธีมอบ ไม่มีใครต้องอาย

เด็กไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเสื้อตัวใหม่มาจากใคร ขอแค่เขารู้ว่า มีใครบางคนอยู่ข้างเขา

และบางครั้ง ความเหลื่อมล้ำไม่ได้ต้องใช้โครงการใหญ่เพื่อแก้

แค่การลงมือเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ก็เปลี่ยนความรู้สึกของเด็กจาก “ไม่มีใคร” เป็น “มีคนเห็น” ได้แล้ว

ตากับยายที่แม้จะรัก แต่ช่วยสอนการบ้านไม่ได้

เด็กหลายคนในโรงเรียนนี้ เติบโตมาใต้หลังคาบ้านที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย อยู่กับตาและยายที่แม้จะเต็มไปด้วยความรัก แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเลยสักครั้ง

“ยายหนูอ่านหนังสือไม่ออกค่ะ”
“ตาหนูบอกให้หนูทำไปเถอะ หนูเก่งอยู่แล้ว”

คำพูดเหล่านี้ฟังดูน่ารัก แต่ในความจริง มันแฝงความเงียบงันของบ้านที่ไม่สามารถช่วยเหลือ “การบ้าน” ของลูกหลานได้เลย

สำหรับเด็กบางคน การบ้านจึงไม่ใช่แค่แบบฝึกหัดหลังเลิกเรียน แต่มันคือสิ่งที่ไม่มีใครในบ้านเข้าใจ และไม่มีใครถามว่า “ลูกติดตรงไหนไหม”

เพื่อไม่ให้เด็กต้องรู้สึกผิด หรือรู้สึกว่าบ้านตัวเองด้อยกว่า ครูเจนจิราเลือกที่จะให้เด็กทำการบ้านที่โรงเรียนแทน
โรงเรียนจึงไม่ได้แค่เป็นที่เรียน แต่กลายเป็นที่ที่เด็กได้รู้สึกว่า “อย่างน้อยก็ยังมีคนเข้าใจโจทย์ข้อนี้ไปพร้อมกัน”

บางครั้ง เด็กไม่ได้ต้องการคำตอบที่ถูก แต่แค่อยากให้มีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ ตอนคิดคำตอบนั้น

และในบ้านที่เต็มไปด้วยความรัก แต่ไร้หนังสือ ครูกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความอบอุ่นกับโอกาส

ความรู้สึกที่เด็กขาดมากกว่าเสื้อผ้าคือ ความรู้สึกมีคุณค่า

“เด็กสมัยนี้ไม่ได้ขาดแค่ความรู้ แต่ขาดความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า”

ครูเจนจิราพูดประโยคนี้ขึ้นมาเบา ๆ หลังจากเล่าถึงนักเรียนคนหนึ่งที่ไม่ยอมทำการบ้าน ไม่ยอมส่งงาน และชอบพูดว่า “หนูทำไม่ได้หรอก”

ไม่ใช่เพราะเขาไม่พยายาม แต่เพราะเขาไม่เชื่อว่า การพยายามของเขาจะมีความหมาย

เมื่อเติบโตมาในโลกที่ไม่มีใครเคยปรบมือให้ ไม่มีใครบอกว่า “ดีมากลูก” ไม่มีใครเคยฟังเขาอย่างตั้งใจ เด็กบางคนจึงไม่กล้าหวัง ไม่กล้าฝัน และไม่กล้ารับโอกาส แม้มันจะอยู่ตรงหน้า

การที่เด็กบางคนไม่คว้าโอกาส ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยาก แต่เพราะเขาไม่เคยเชื่อว่าโลกจะให้โอกาสกับเขาจริง ๆ

ครูเจนจึงต้องทำให้เขาเห็นว่าโอกาสมีอยู่จริง และเขามีค่าพอที่จะได้รับมัน

บางครั้งสิ่งที่เด็กต้องการอาจไม่ใช่คำสอนเพิ่มเติม หรือสื่อการเรียนรู้ใหม่ ๆ แต่อาจเป็นแค่คนหนึ่งคนที่เชื่อในเขาอย่างแท้จริง

และการเชื่อนั้น ไม่ได้เริ่มจากคำพูดใหญ่โต แต่อาจเริ่มจากแค่การนั่งลงข้างเขา แล้วพูดว่า “ครูเชื่อนะว่าหนูทำได้”

รางวัลของครู ไม่ใช่คำชม แต่คือรอยยิ้มที่พูดว่า ‘หนูมีความสุขค่ะ’

“วันนี้แม่ทำกับข้าวให้หนูด้วยนะคะ”

มันเป็นประโยคสั้น ๆ ที่เด็กหญิงคนหนึ่งพูดกับครูเจนในเช้าวันจันทร์ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ก่อน เธอคือเด็กคนเดียวกันที่บอกว่า “คุณครูขา หนูยังไม่ได้กินข้าวค่ะ”

แค่ประโยคเดียว ทำให้ครูรู้ว่า บางอย่างเปลี่ยนไปในบ้านของเด็ก อาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่อย่างน้อย ในวันหนึ่งที่แม่มีเวลา อาจจะเหนื่อยน้อยลง หรือมีเงินพอจะทำกับข้าวให้ลูกได้หนึ่งมื้อ มันคือความอบอุ่นเล็ก ๆ ที่กลับเข้ามาในบ้าน

รางวัลของครูไม่ได้มาในรูปของเกียรติบัตรหรือคำชมในที่ประชุม แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ งอกในหัวใจเด็ก

เด็กคนหนึ่งเริ่มอยากเล่าเรื่องของตัวเอง อยากบอกสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้น อยากแบ่งปันบางอย่างกับคนที่เขารู้ว่า “ฟังอยู่”

การเรียนอาจยังยาก ชีวิตอาจยังไม่ดีพอ แต่ถ้าเด็กมีความสุขที่จะเล่า มีความสุขที่ได้มาโรงเรียน มีความสุขที่รู้ว่ามีคนฟัง นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่

และสำหรับครูเจนจิรา นั่นคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อาชีพนี้จะมอบให้ได้

บทสรุปของครูที่เติบโตมาจากความไม่พอ

“ถ้าระบบมันยังไม่เปลี่ยน เราก็ต้องทำเท่าที่เราทำได้ให้ดีที่สุด”

ครูเจนจิราพูดเหมือนคนที่รู้ดีว่า ระบบใหญ่เกินกว่าคนตัวเล็กจะเปลี่ยนได้ทันที

แต่เธอเชื่อในพลังของความรักเล็ก ๆ ที่บ้าน จากการไม่ละเลย จากตายายที่กอดหลานแน่น ๆ และครูที่ถามเด็กว่า “วันนี้กินข้าวมายัง” แทนที่จะถามแค่ “ทำการบ้านมาหรือยัง”

เพราะสำหรับเด็กบางคน แค่ได้มาถึงโรงเรียน ก็เหมือนกับชนะอะไรบางอย่างมาแล้ว

และบางครั้ง ชีวิตเด็กหนึ่งคนก็เริ่มดีขึ้นได้…จากการที่ครูคนหนึ่งยอมเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างเขาเงียบ ๆ แล้วฟังเขาเล่า

แค่นั้นเอง