เด็กๆ ลูกหลานแรงงานข้ามชาติกัมพูชาที่ระยอง หลายคนไม่กล้าออกจากบ้าน บางคนต้องพกอุปกรณ์ป้องกันตัว
คือการอัพเดทสถานการณ์ล่าสุดจาก ‘อ้อน’ ปฏิมา ตั้งปรัชญากูล มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) ที่ทำงานเพื่อสิทธิการศึกษามานานกว่า 20 ปี ปัจจุบันปฎิมาทำโครงการเยียวยาและพัฒนาศักยภาพเด็กกลุ่มเปราะบางผู้ถูกกระทำความรุนแรงจากครอบครัวและสังคม’ ครอบคลุมพื้นที่ปทุมธานี สมุทรสงคราม ระยอง และเป็น 1 ใน 34 หน่วยการทำงานของโครงการพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเยาวชนนอกระบบการศึกษา กสศ.
“ประเทศเราเราอยู่ไม่ได้ อยู่ไทยเราก็เรียนไม่ได้” ปฏิมาพูดแทนเด็กๆ ในห้องเรียนอาเซียนที่ทำงานมาตลอดภายใต้แนวคิดเอาเด็กออกจากโรงงานมาเข้าโรงเรียน
“เด็กเจ็ดขวบ แปดขวบก็ทำงานแล้ว เขาทำงานแบบเท่ากับพ่อแม่เลย นอนแค่หนึ่งชั่วโมง จนกว่าจะปอกเปลือกกุ้งหมด”
ปฏิมาเล่าเรื่องลูกหลานแรงงานจากพม่าในจังหวัดสมุทรสาครแต่กับแรงงานกัมพูชา LPN เริ่มต้นที่ระยอง ตราด ชลบุรี ตั้งแต่ 7-8 ปีที่แล้ว โดยยกตัวอย่างพื้นที่ระยอง
“พาเด็กๆ เข้าโรงเรียนเล็กที่เข้าข่ายจะถูกยุบในเมืองระยอง ประมาณห้าโรงเรียน โดยใช้โมเดลคล้ายกับที่สมุทรสาคร คือเข้าไปทำงานกับโรงเรียน จัดประชุมผู้ปกครอง พาเด็กไปสมัครเรียน แล้วก็จัดรถรับส่ง โดยผู้ปกครองก็รวมเงินกันเองแล้วก็พาเด็กไปส่งโรงเรียนในทุกวัน”
LPN ไม่ได้ทำงานขับเคลื่อนลอยๆ แต่อยู่ภายใต้กฏหมายและหลักสิทธิมนุษยชน มติคณะรัฐมนตรี 5 กรกฎาคม 2548 และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ 31 ตุลาคม 2562 ที่กำหนดไว้ว่า เด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือไม่ ต้องได้รับสิทธิในการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน

หากหลักสูตรสำหรับเด็กๆ ลูกหลานแรงงานข้ามชาติจำเป็นต้องยืดหยุ่นกว่านั้น ก่อนเด็กๆ จะเข้าชั้นเรียนปกติ ปฏิมาพาเด็กๆ เข้าห้องเรียนอาเซียนคละสัญชาติ ไทย-พม่า-กัมพูชาและอื่นๆ ในวันเสาร์อาทิตย์ในรูปแบบการ “เรียนรู้เพื่ออยู่รอดและอยู่ร่วม”
“รู้ภาษาไทยเพื่อให้เอาชีวิตรอด ไปซ้าย ไปขวา ไปไหนมาไหนถูก กินยา จำฉลากได้ เราอยากสร้างพื้นที่ปลอดภัย เพราะพ่อแม่บางคนขังลูกไว้เลยในห้องห้าเดือน หรือบางคนถ้าโตหน่อย ก็ขังตัวเอง ไม่กล้าออกไปไหน เซฟโซนของเด็กข้ามชาติในภาวะสงครามมันเลยไม่มี”
สำหรับปฎิมาห้องเรียนคละสัญชาติเป็นการสอนเรื่อง “การอยู่ร่วมและไม่บูลลี่” แบบไม่ได้สอน เด็กๆ จะซึมซับเองโดยธรรมชาติ
คนดีไม่จำเป็นต้องมาจากด้อยค่าคนอื่น
แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าการบูลลี่ในตอนนี้คือ ชาตินิยม
“ไม่กล้าออกจากบ้านเลย ตอนกระแสข่าวแรง เด็กกัมพูชาบอกเราว่า แต่ก่อนเรายังอยู่กันดีๆ อยู่เลย ยังคุยกันได้ แต่ตอนนี้เขาแทบมองหน้ากันไม่ได้ คนไทยเองก็ไม่กล้าจ้างงาน”
ปฎิมาอธิบายต่อว่า ธรรมชาติของคนกัมพูชา พอเริ่มกลัว ตื่นตระหนก เขาจะกลับไปหมดเลย ทำให้นายจ้างขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานตามฤดูกาล มากกว่านั้นแรงงานในชาติพันธุ์ต่างๆ ปฏิมาบอกว่าความถนัดไม่เหมือนกัน แรงงานกัมพูชาถนัดงานสถาปัตย์ ก่อสร้าง ร้านอาหาร แรงงานพม่าคือภาคประมง “มันแทนกันไม่ได้”
ด้านคนไทยที่อยู่ในพื้นที่ มีมิตรภาพแบบพึ่งพาอาศัยกันมานานก็กลัวถูกลูกหลงชาตินิยมไปด้วย
“แค่งานรับจ้างล้างจานในร้านก๋วยเตี๋ยว นายจ้างยังไม่กล้ารับเลย เขาบอกว่าตอนนี้คนกัมพูชากับไทยรบกัน ป้าจ้างหนูไม่ได้หรอกลูก”
แรงปั่นสำคัญ คือ สื่อออนไลน์ สร้างข่าวปลอมขึ้นมา
“มันทำให้เรามองความเป็นอื่นได้ เพราะรู้สึกว่าเราถูกต้อง การด้อยค่าคนอื่นทำให้เรามีความหมาย ทำให้เราเป็นคนดี”
สิ่งที่ปฏิมาทำและทำมาตลอด หนึ่งในนั้นคือการพาเด็กๆ ลูกหลานแรงงานข้ามชาติไปทัศนศึกษาในโครงการเยียวยาและพัฒนาศักยภาพเด็กกลุ่มเปราะบางผู้ถูกกระทำความรุนแรงจากครอบครัวและสังคม

“เราพยายามทำกิจกรรมง่ายๆ เลยคือ เอาเด็กออกจากห้องเช่าของตัวเอง พานั่งรถไฟจากมหาชัยมากรุงเทพฯ ขึ้นบีทีเอสไปที่หอศิลป์แล้วเดินไปจุฬาฯ ต่อด้วยพานั่งรถไฟใต้ดิน แล้วก็เดินทางกลับ นี่คือกิจกรรมที่เขาแฮปปี้ที่สุดเพราะว่าเขาไม่กล้าออกไปไหน”
ปฏิมาเสริมว่ากิจกรรมนอกสถานที่นี้เด็กๆ ทุกคนใส่เสื้อยืดโครงการฯ ที่มีคำว่า กสศ. สำหรับคนอื่น นี่อาจเป็นเพียงโลโก้ แต่กับเด็กๆ มันคือการประทับตราบางอย่างลงบนเสื้อที่หมายถึงความปลอดภัย และทำให้เขากล้าออกมาโลกภายนอก
เสริมด้วยหลักสูตรที่ซ่อนสาระสำคัญอยู่กลายๆ ว่าความแตกต่างหลากหลายต่างหากคือเรื่องปกติ
“เราให้แต่ละคนวาดความฝัน เด็กไทย พม่า กัมพูชา ไม่ว่าชาติไหนก็มีความฝัน ใช้งานศิลปะให้เขาอยู่กับตัวเอง วาดสิ่งที่เป็นตัวเขา มันอาจจะเศร้าบ้าง แต่ว่าเขาเริ่มได้อยู่กับตัวเอง ได้แลกเปลี่ยนกัน ลองมาคุยกันซิว่าความฝันของเพื่อนเป็นยังไง มันก็ทำให้เขาเข้าใจกันว่าเพื่อนคนนี้ เขาอยากเรียนแต่โรงเรียนถูกระเบิดหมดเลย ในขณะที่ฉันได้ไปโรงเรียนทุกวันเลยนะ แต่ว่าฉันขี้เกียจไป”
ถึงแม้เด็กแต่ละคนต้นทุนชีวิตจะไม่เท่ากัน แต่กิจกรรมแลกเปลี่ยนความฝันในห้องเรียนอาเซียนจะทำให้พวกเค้าเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่คนต่างสัญชาติ
“เค้าจะรู้ว่ารักชาติโดยไม่ต้องเกลียดใครก็ได้นะ” ปฏิมาบอก

‘อ.เกด’ ดร.ยุรนันท์ ตามกาล นักวิจัยชำนาญการ สถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทีมหนุนเสริมวิชาการในโครงการพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา กสศ. เสริมว่า ภายใต้การทำงานเพื่อสิทธิการศึกษาของเด็กๆ ทุกคนอย่างเข้มข้น กสศ.ในฐานะหน่วยสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ นี้ ก็หวังว่านี่จะเป็นอีกกระบอกหนึ่งในการสื่อสารกับสังคม นำไปสู่การเปิดใจ และส่งไม้ต่อสุดท้ายเพื่อขับเคลื่อนผ่านนโยบายในที่สุด
“ถ้าเอาแบบชัดๆ เลยคือแรงงานในอนาคตเราอยู่ตรงหน้า แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราทำลายอนาคตที่มีคุณภาพของเขา ซึ่งก็คือของเราด้วยในอนาคต การที่มีเขาหนึ่งคน สองคน สามคน ไปจนถึงสี่ห้าคนนั่นก็เป็นชุมชนแล้ว ถ้าเราไม่ทำให้หนึ่งในสี่ห้าคนนั้นปลอดภัย คนที่เหลือก็ได้รับผลระทบอยู่ดี เหมือนในดินเดียวกันถ้าดอกไม้ดอกหนึ่งบาน ดอกอื่นก็บานไปด้วย เพราะเขาอยู่ด้วยกัน เขาคือชุมชน” อ.เกดอธิบาย

สุดท้าย ปฏิมาบอกว่าความเป็นเพื่อนกัน จะทำให้เด็กรู้สึกถึงความเป็นเซฟโซน โดยไม่ต้องยัดเยียดสอน พอเขารับมันเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ เขาจะไม่ลืมความเป็นมนุษย์ของตัวเองและคนอื่น
“เราจะไม่โต้แย้งเขาเรื่องความเป็นชาตินิยม แต่เราพยายามสร้างเมสเซจใหม่ เขาจะเห็นความแตกต่าง และความแตกต่างมันไม่ใช่สูงต่ำ แต่คือมนุษย์ที่มันหลากหลาย” ปฎิมาทิ้งท้าย
เรื่อง : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ
ภาพ : บัว คำดี