3 แนวทางเชิงระบบ “เป็นธรรม–ยืดหยุ่น–มุ่งผลสัมฤทธิ์” ยกระดับการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

3 แนวทางเชิงระบบ “เป็นธรรม–ยืดหยุ่น–มุ่งผลสัมฤทธิ์” ยกระดับการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

  • การจัดการทรัพยากรการศึกษาต้อง “เป็นธรรม” ด้วยสูตรการจัดสรรงบประมาณที่คำนวณจาก ‘ความแตกต่างของขนาดโรงเรียน’ เพื่อให้ ‘ส่วนเกินทางเศรษฐกิจ’ จากโรงเรียนขนาดใหญ่สามารถถ่ายเทไปยังโรงเรียนขนาดเล็กได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้เด็กทุกคนในทุกพื้นที่ได้รับประโยชน์จากงบประมาณการศึกษาอย่างทั่วถึง
  • การจัดการทรัพยากรการศึกษาต้อง “ยืดหยุ่น” เพื่อรองรับความหลากหลายของผู้เรียนและบริบทพื้นที่ โดยคำนึงถึงแนวทาง ‘Demand-side financing’ หรือการสนับสนุนงบประมาณที่ส่งตรงถึงตัวผู้เรียนรายบุคคล ผ่านการจัดการศึกษาที่ออกแบบเฉพาะตามความต้องการ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาศักยภาพได้ ‘ตามวิถีทางของตนเอง’  
  • การจัดการทรัพยากรการศึกษาต้อง “มุ่งผลสัมฤทธิ์” โดยการลงทุนด้านการศึกษาควรสร้าง ‘ผลกระทบที่ชัดเจน (Impact)’ ต่อการยกระดับระบบการศึกษาและสังคมในระยะยาว ต้องสามารถวัดและประเมินผลได้อย่างเป็นระบบ เพื่อดึงดูดภาคธุรกิจเอกชนให้เข้ามาร่วมสมทบทรัพยากร ซึ่งจะช่วยขยายขอบเขตการจัดการงบประมาณของภาครัฐ ในสถานการณ์ที่ฐานภาษียังเติบโตไม่ทันต่อความต้องการของระบบการศึกษาในภาพรวม      

ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายในการพัฒนาระบบการศึกษาให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมกับภารกิจสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในหลายมิติ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้นำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อปรับปรุงแนวทางการจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีหลักคิดสำคัญ 3 มิติ ได้แก่ “เป็นธรรม – ยืดหยุ่น – มุ่งผลสัมฤทธิ์”

ข้อเสนอนี้ถูกนำเสนอในเวทีเสวนาเรื่อง “การสนับสนุนทรัพยากรเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา” ซึ่งจัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางสนับสนุนและการลงทุนด้านการศึกษาที่สามารถยกระดับคุณภาพได้อย่างแท้จริง โดยข้อคิดเห็นจากเวทีนี้จะถูกนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดทำนโยบายสนับสนุนทรัพยากรการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ ต่อไป

ดร.ไกรยส ภัทราวาท

ดร.ไกรยส กล่าวถึง “3 แกนหลักของการจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษา” ที่ต้องดำเนินควบคู่กันอย่างประสานสอดคล้อง ได้แก่ ความเป็นธรรม ความยืดหยุ่น และ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยเริ่มจากหลัก “ความเป็นธรรม” ซึ่งหมายถึงการจัดสรรทรัพยากรที่ตั้งอยู่บนแนวคิด ‘ความเสมอภาค’ (equity) ไม่ใช่ความเท่ากันในจำนวนงบประมาณที่ได้รับ เพราะเด็กแต่ละคนมีจุดเริ่มต้นหรือต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น การสนับสนุนเชิงนโยบายจึงต้องมุ่งไปที่การเสริมทรัพยากรให้กับกลุ่มเด็กที่ขาดแคลนโอกาส เพื่อให้พวกเขามีเครื่องมือและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างแท้จริง

หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ตอกย้ำแนวคิดนี้ คือผลการทดสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) หรือโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล ซึ่งจัดทำโดย OECD เพื่อประเมินสมรรถนะของนักเรียนในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเมื่อเปรียบเทียบผลคะแนนกับดัชนีการขาดแคลนทรัพยากรการศึกษา จะพบอย่างชัดเจนว่า นักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านอุปกรณ์การเรียนรู้และครูครบชั้น มักมีผลคะแนนสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับนักเรียนที่ขาดความพร้อมในมิติดังกล่าว

“เราจึงต้องย้อนมาดูปัญหาเรื่องการเข้าไม่ถึง หรือ ความขาดแคลนของโรงเรียนขนาดเล็ก โดยเฉพาะเรื่อง ‘สูตรจัดสรรเงินอุดหนุน’ ที่ ณ วันนี้ยังใช้วิธีเหมาหัวเท่ากัน ซึ่งทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนขนาดใหญ่และโรงเรียนขนาดเล็กถ่างกว้างขึ้นทุกที” – ดร.ไกรยส ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระดับโรงเรียน

“โรงเรียนที่มีนักเรียน 3,000 คน กับโรงเรียนที่มีนักเรียน 50–100 คน ใช้สูตรจัดสรรงบแบบเดียวกันไม่ได้” ดร.ไกรยสอธิบาย พร้อมเจาะจงไปที่โรงเรียนที่มีนักเรียนเกิน 500 คนขึ้นไป เงินอุดหนุนที่เพิ่มจากคนที่ 501 เป็นต้นไป ในเชิงเศรษฐศาสตร์ถือเป็น “ส่วนเกินทางเศรษฐกิจ” (Economic Surplus) ที่ทำให้โรงเรียนขนาดใหญ่มีความได้เปรียบในการบริหารจัดการและได้รับงบประมาณเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กยังคงเผชิญข้อเสียเปรียบในทุกมิติ ทั้งครูไม่ครบชั้น งบประมาณไม่พออุปกรณ์ไม่พร้อม ส่งผลต่อคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กในที่สุด

ข้อเสนอของ กสศ. จึงไม่ใช่เพียงการเรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณเท่านั้น แต่คือการ “ปรับวิธีคิดในการจัดสรร” ให้สะท้อนถึงความเป็นจริงของความแตกต่างในแต่ละพื้นที่ และสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง

ย้ายข้างตัวแปรบนสมการ สร้าง ‘สูตรจัดสรรงบประมาณเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา’ โดยไม่ต้องอัดฉีดเงินเพิ่ม  

ดร.ไกรยส อธิบายถึงแนวทางการปรับสูตรการจัดสรรงบประมาณใหม่ เพื่อสร้างความเสมอภาคให้กับโรงเรียนที่มีขนาดแตกต่างกัน โดยยกตัวอย่างกรณีของโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนมากกว่า 500 คน หากสามารถถ่ายเทส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนคนที่ 501 เป็นต้นไป สนับสนุนไปยังโรงเรียนขนาดเล็ก จะช่วยให้โรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวนน้อยได้รับงบประมาณเพิ่มเติม โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มวงเงินรวมของงบประมาณการศึกษา

“เพียงแค่เราปรับพารามิเตอร์บนสมการ โดยโยกตัวแปรให้ย้ายจากฝั่งขวาไปที่ฝั่งซ้าย คือเอาเงินอุดหนุนส่วนเกินที่โรงเรียนใหญ่ได้รับมาตลอด ไปกระจายจัดสรรให้กับโรงเรียนขนาดเล็กด้วยวิธีนี้การคำนวณเงินอุดหนุนใหม่ ไม่จำเป็นต้องใส่งบเพิ่ม แต่ผลลัพธ์คือ เราสามารถเติมทรัพยากรหรือเงินอุดหนุนที่เสมอภาคและเป็นธรรมยิ่งขึ้นให้กับโรงเรียนขนาดเล็กได้”     

ดร.ไกรยส ยังชี้ให้เห็นข้อมูลสำคัญว่า ประเทศไทยมีโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั้งหมดประมาณ 30,000 แห่ง ทั่วประเทศ ในจำนวนนี้กว่า 14,000 แห่ง เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120 คน และในกลุ่มนี้กว่า 1,400 แห่ง เป็นโรงเรียน “Stand Alone” หรือโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร เช่น บนเกาะ บนดอย หรือในพื้นที่ที่ไม่มีโรงเรียนอื่นอยู่ในรัศมี 6 กิโลเมตร

โรงเรียนในกลุ่มนี้ไม่สามารถยุบหรือควบรวมได้ เนื่องจากเป็น “ที่พึ่งทางการศึกษาเพียงแห่งเดียวของชุมชน” และเมื่อสถานะของโรงเรียนเหล่านี้คือ “ต้องมีอยู่” การเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัดฉีดทรัพยากรให้เพียงพอ จึงเป็น วาระเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการทันที

ดร.ไกรยสยังชวนมองแนวคิด “ความเป็นธรรมทางการศึกษา” ผ่านมุมมอง 2 ระดับ คือ

  1. ความเป็นธรรมทางการศึกษาแนวราบ (Horizontal Equity) เด็กทุกคนควรได้รับทรัพยากรเท่ากัน โดยเฉพาะสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเรียนฟรี 15 ปี หรือสวัสดิการถ้วนหน้าอย่างเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด โมเดลนี้ใช้ได้ดีในประเทศที่มีฐานภาษีกว้างและมั่นคง เช่น กลุ่มประเทศนอร์ดิก (สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์) ซึ่งสามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อให้การศึกษาฟรีถึงระดับมหาวิทยาลัยได้ เนื่องจากมีระบบรัฐสวัสดิการที่เข้มแข็งรองรับ
  2. ความเป็นธรรมทางการศึกษาแนวลึก (Vertical Equity) สำหรับประเทศประเทศไทย ซึ่งยังมีฐานภาษีที่แคบ โดยจากประชากรราว 70 ล้านคน มีผู้เสียภาษีสุทธิจริงไม่ถึง 5 ล้านคน แนวทางที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติคือ การจัดสรรงบประมาณที่คำนึงถึง ความแตกต่างของต้นทุน โดยอัดฉีดทรัพยากรให้กับกลุ่มที่จำเป็น เพื่อค่อย ๆ ลดช่องว่างระหว่างโรงเรียนที่มีขนาด พื้นที่ หรือสถานะทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน

“เมื่อเราลดจำนวนเด็กกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนลงได้ ด้วยการลงทุนในระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและเป็นธรรม เมื่อนั้นก็จะนำไปสู่การ ขยายฐานภาษีในอนาคต และเมื่อเศรษฐกิจเติบโตจากคนที่มีคุณภาพ เราก็จะสามารถมุ่งสู่การจัดทรัพยากรการศึกษาที่เสมอภาคแบบแนวราบได้จริงตามอุดมคติของรัฐสวัสดิการ” – ดร.ไกรยสอธิบาย

ดร.ไกรยส เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า งบประมาณกว่า 4–5 แสนล้านบาท ที่รัฐใช้จ่ายในระบบการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงอุดมศึกษา มีเพียงประมาณ 10% เท่านั้น ที่ตกถึงกลุ่มเด็กยากจนและด้อยโอกาส ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความเหลื่อมล้ำแบบถดถอย (Regressive) หรือสภาวะที่การจัดสรรทรัพยากรกลับกลายเป็นการ ลดทอนโอกาส มากกว่าจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้กับกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด

ข้อมูลจากผลสำรวจโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลประมาณ 1,400 แห่ง ระบุชัดว่าโรงเรียนเหล่านี้เผชิญกับปัญหาทับซ้อนหลายด้าน

  • เกือบทั้งหมด มีครูไม่ครบชั้น
  • 20% ไม่มีผู้บริหารประจำโรงเรียน
  • 75% ขาดแคลนอุปกรณ์และสื่อการสอน
  • 73% ของครูต้องรับภาระงานอื่นนอกเหนือจากการสอน
  • 20% ของนักเรียนประสบปัญหาด้านโภชนาการและการเดินทาง ซึ่งส่งผลต่อความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบ
  • 15% ของครูยังไม่ได้รับการอบรมการใช้นวัตกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสม   

ข้อมูลเชิงประจักษ์เหล่านี้ได้นำไปสู่การพัฒนางานวิจัยโดยความร่วมมือระหว่าง กสศ. สพฐ. และสภาการศึกษา ร่วมกันทดลองรูปแบบจัดสรรงบประมาณใหม่ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง หรือ “แนวดิ่ง” ให้ตรงจุดยิ่งขึ้น แนวทางที่นำมาใช้คือการจัดสรรงบประมาณในรูปแบบ Block Grant หรือการเติมเงินก้อนพิเศษเพิ่มเติมจากงบเงินอุดหนุนทั่วไป โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. ขนาดของโรงเรียน
  2. ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ เช่น บนภูเขา เกาะ หรือพื้นที่ชายแดน
  3. สัดส่วนของนักเรียนด้อยโอกาสในโรงเรียน

“การจัดสรรเงินในลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยเติมเต็มทรัพยากรให้กับโรงเรียนขนาดเล็กหรือในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างกำลังใจให้กับครูผู้เสียสละที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ที่ไม่สะดวกสบาย โดยให้โรงเรียนมี อิสระในการบริหารจัดการงบส่วนนี้ อย่างเหมาะสมกับบริบทของตนเอง ซึ่งเราหวังว่าการจัดสรรงบประมาณตามโมเดลนี้ จะทำให้เกิดคู่มือของการจัดสรรงบประมาณที่เสมอภาคและเป็นธรรมยิ่งขึ้น” – ดร.ไกรยสกล่าว

ในขณะเดียวกัน ดร.ไกรยสยังกล่าวถึง “ความยืดหยุ่น” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแกนหลักของการจัดสรรทรัพยากรการศึกษา โดยเน้นว่า การออกแบบนโยบายต้องสามารถรองรับความหลากหลายของผู้เรียนในทุกมิติ โดยได้ยกข้อมูลจาก ธนาคารโลก (World Bank) ที่ชี้ว่า ประชากรวัยแรงงานไทยกว่า 60–70% ยังมีทักษะด้านการอ่าน ทักษะดิจิทัล และทักษะอารมณ์-สังคม ต่ำกว่ามาตรฐานสากล ขณะเดียวกัน ข้อมูลชุดเดียวกันยังพบว่า ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาเกือบ 1 ล้านคน

นอกจากนี้ การติดตามเส้นทางการศึกษาในช่วงการศึกษาภาคบังคับจนถึงรอยต่อการเข้าสู่ระดับอุดมศึกษา ยังพบว่า ในกลุ่มเด็กเยาวชนจากครอบครัวยากจนที่มีรายได้น้อยกว่าเส้นความยากจน ซึ่งมีประมาณ 165,000 คน มีเพียง 22,000 คน หรือประมาณ 13% เท่านั้น ที่สามารถเรียนต่อจนถึงระดับอุดมศึกษา

ข้อมูลยังบ่งชี้เพิ่มเติมว่า เด็กที่มาจากครอบครัวที่ผู้ปกครองมีการศึกษาสูงสุดแค่ระดับประถม (ป.6) จะมีโอกาสน้อยลงอย่างชัดเจน ในการเข้าถึงการศึกษาระดับสูง ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภาพตรงไปตรงมาว่า เด็กเยาวชนจากครอบครัวที่มีฐานะดีกว่า ย่อมมีโอกาสมากกว่า ในการเดินบนเส้นทางการศึกษา และเมื่อมีโอกาสมากกว่าก็ย่อมมีโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตมากขึ้น

ดร.ไกรยสจึงเน้นย้ำว่า หนึ่งในโจทย์สำคัญของการพัฒนาคุณภาพประชากรในระยะยาว คือการออกแบบระบบการศึกษาที่ช่วย “เชื่อมเส้นทางการเรียนรู้ของเด็กอย่างต่อเนื่อง” โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่อยู่ในจุดเปราะบาง เพื่อพาเขาไปสู่ “เส้นทางการศึกษาที่สามารถยกระดับชีวิตได้จริง

เปลี่ยน ‘การศึกษาแบบแข็งตัว’ ที่เด็กต้องปรับตัวเข้าหา
เป็น ‘การศึกษายืดหยุ่น’ พร้อมรองรับทุกความหลากหลายของวิถีชีวิต

ดร.ไกรยสกล่าวว่า “การศึกษาที่ยืดหยุ่น” หมายถึงการมองไปยังปลายทางที่หลากหลาย โดยตระหนักว่าเด็กทุกคน ไม่จำเป็นต้องเดินเข้าสู่มหาวิทยาลัยเหมือนกันหมด แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับในความแตกต่างของแต่ละคน และออกแบบการศึกษาที่ ส่งเสริมศักยภาพเฉพาะตัวของผู้เรียนเป็นรายบุคคล

ด้วยเหตุนี้ “การศึกษาทางเลือก” จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่มากขึ้น และต้องเชื่อมประสานกันเป็นระบบเดียว ไม่แยกขาดจากกัน ตัวอย่างของแนวทางที่ กสศ. สนับสนุน ได้แก่

  • การจัดการเรียนรู้ผ่าน Mobile School
  • แนวทาง 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ
  • การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Hybrid Learning) ที่รวมระหว่าง การเรียนในโรงเรียน การฝึกงานกับสถานประกอบการ การเรียนรู้จากศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน

“การเรียนรู้ที่สามารถ ‘สะสมและโอนถ่ายหน่วยกิต’ ระหว่างกันได้ จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถนำผลการเรียนที่สะสมไว้ไปใช้สมัครเรียนต่อหรือสมัครงานได้ การศึกษาจะกลายรูปจากเบ้าหลอมแข็งตัวที่เด็กต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเข้าหา เป็นการศึกษา ‘ยืดหยุ่น’ ที่พร้อมรองรับทุกความหลากหลายของวิถีชีวิต และสามารถพาผู้เรียนไปสู่จุดหมายเฉพาะของแต่ละคน หรือการดึงเอาศักยภาพเฉพาะของแต่ละคนออกมา จนสามารถพัฒนาไปสู่ ‘เวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเอง’ ได้สำเร็จ” –  ดร.ไกรยสกล่าว

ดร.ไกรยสยังได้เน้นว่า หาก “ความยืดหยุ่น” ถูกฝังไว้ในระบบการศึกษาอย่างยั่งยืน ความเหลื่อมล้ำเรื่องโอกาสในการเรียนรู้จะค่อย ๆ เลือนหายไป เพราะจะไม่มีใครถูกทอดทิ้งหรือต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาอีกต่อไป ทุกคนจะมีโอกาสได้ค้นพบตัวเอง มีเส้นทางการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงถึงอาชีพ และสามารถเรียนรู้ต่อได้ตลอดชีวิต

Thailand Zero Dropout: เส้นทางใหม่ของการเรียนรู้เพื่อทุกคน

ในปัจจุบัน กสศ. ร่วมกับรัฐบาล เดินหน้านโยบาย Thailand Zero Dropout เพื่อพาเด็กและเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษากลับคืนสู่กระบวนการเรียนรู้ ผ่านกระบวนการที่ครอบคลุมทั้ง การค้นหา-ฟื้นฟูสุขภาวะทางจิตใจ-ดูแลในมิติต่าง ๆ ของชีวิต เพื่อพาทุกคนไปสู่เส้นทางเรียนรู้ที่มีทางเลือก ตอบโจทย์ความฝัน ความต้องการ และบริบทชีวิตของแต่ละคน

ขณะเดียวกัน สภาการศึกษา ซึ่งกำลังพัฒนาระบบ “ธนาคารหน่วยกิต” (Credit Bank) จะทำให้หน่วยการเรียนรู้จากหลากหลายช่องทางสามารถเชื่อมโยงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในระบบ นอกระบบ หรือในชีวิตจริง เมื่อระบบนี้สมบูรณ์ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกรูปแบบ และทุกวิธีการ

ถัดมาคือ แกนที่สาม ซึ่งจะช่วยเติมเต็มแนวทาง การสนับสนุนทรัพยากรเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ให้สมบูรณ์ คือแนวคิด “การจัดการทรัพยากรการศึกษาที่มุ่งผลสัมฤทธิ์” (Outcome-Based) นั่นคือ การลงทุนด้านการศึกษาจะต้อง ไม่หยุดอยู่แค่การใช้จ่าย แต่ต้อง สร้างผลลัพธ์ที่วัดได้ และ ตอบแทนกลับสู่ระบบ อย่างมีประสิทธิภาพ

หา ‘พันธมิตรผู้ร่วมลงทุนทางการศึกษา’ เพื่อขยายฐานทุนทรัพยากรให้กว้างขึ้น

ดร.ไกรยสกล่าวว่า หากประเทศไทยต้องการให้เม็ดเงินลงทุนด้านการศึกษา ปีละ 4–5 แสนล้านบาท สามารถสร้าง “ความเปลี่ยนแปลง” และ “พาประเทศเดินไปข้างหน้า” ได้จริง สิ่งสำคัญที่ต้องเกิดขึ้นคือ การวัดผลของการลงทุน เพื่อชี้ชัดว่า งบประมาณที่ใช้ไปนำไปสู่เป้าหมายอะไร และก่อให้เกิด ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน อย่างแท้จริง แนวทางนี้จะช่วยสร้าง “ความเป็นไปได้” ในการดึงดูดภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนทางการศึกษาได้มากขึ้น

“การจะจุดประกายให้ภาคเอกชนสนใจร่วมทำงานกับภาครัฐ เราต้องแสดงให้เห็นว่าทุกการลงทุนทางการศึกษาเป็นไปโดยคาดหวังผลลัพธ์ และต้องเป็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน”

ดร.ไกรยสเน้นว่า “ผลลัพธ์” ในที่นี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจโดยตรงเสมอไป แต่ควรวัดได้จาก แรงกระเพื่อมทางสังคม (Social Impact) ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรที่เข้าร่วม เช่น การมีส่วนร่วมลดความเหลื่อมล้ำ หรือสนับสนุนโอกาสให้กับผู้เรียนด้อยโอกาสในพื้นที่เปราะบาง

สิ่งสำคัญอีกประการคือ การประเมินผลลัพธ์ต้องดำเนินการโดยทีมประเมินอิสระ ที่มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และเที่ยงตรง เพื่อให้ผู้ร่วมลงทุนมั่นใจว่า ทรัพยากรที่ลงไปจะ สร้างผลตอบแทนกลับคืนสู่สังคมมากกว่าต้นทุนเดิม หลายเท่าตัว

นอกจากนี้ หากต้องการให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนในรูปแบบ “การระดมทุนขนาดใหญ่” เพื่อมอบให้หน่วยงานหนึ่งไปดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐและผู้กำหนดนโยบายต้องสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า ทุนที่ได้รับจะถูกใช้ อย่างไร และ เพื่อใคร ผ่านแผนงานที่ระบุรายละเอียดอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมาย บริบทพื้นที่ นวัตกรรมการดำเนินงาน หรือผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในแต่ละระยะ

ดร.ไกรยสกล่าวสรุปว่า หากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง จะนำไปสู่การเกิดขึ้นของ “พันธมิตรผู้ร่วมลงทุนทางการศึกษา” (Education Investment Partners) ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการ ขยายฐานทุนทรัพยากรทางการศึกษาให้กว้างขึ้นกว่าที่เคยเป็น เมื่อภาครัฐไม่ต้องเป็นผู้ลงทุนเพียงลำพัง ระบบการศึกษาก็จะสามารถวางแผนงานขนาดใหญ่ขึ้น มุ่งเป้าหมายระยะยาวมากขึ้น และรองรับความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น

“เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจของภาคธุรกิจเอกชน มีขอบเขตกว้างไกลเกินกว่าแค่ประเทศหนึ่งหรือภูมิภาคหนึ่ง ดังนั้นถ้าเราเดินตามโมเดลนี้ได้และประสบความสำเร็จ ย่อมหมายถึงประเทศไทยจะสามารถระดมทรัพยากรการศึกษาได้มากกว่างบที่กระทรวงศึกษาได้รับจัดสรรในแต่ละปี และเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ต้นทุนทรัพยากรจากความร่วมมือลักษณะนี้ จะเติบโตต่อเนื่องได้อย่างไม่จำกัด” – ดร.ไกรยสกล่าวปิดท้าย