จริงหรือไม่ ? “การศึกษาควรมองความเป็นคนมากกว่าการใช้เนื้อหารายวิชาเป็นตัวตั้ง”

จริงหรือไม่ ? “การศึกษาควรมองความเป็นคนมากกว่าการใช้เนื้อหารายวิชาเป็นตัวตั้ง”

“จริงหรือไม่ ที่การศึกษาไทยควรมองความเป็นคนมากกว่าการใช้เนื้อหารายวิชาเป็นตัวตั้ง” นี่คือประเด็นคำถามที่น่าสนใจที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา กอนพ่วง รองคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้นำวงเสวนาในประเด็น “แนวทางการขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ TSQM-A จังหวัดพิษณุโลก ผ่าน Platform สมัชชาการศึกษาจังหวัดพิษณุโลก” เวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดการความรู้ (Knowledge Management) โรงเรียนพัฒนาตนเอง จังหวัดพิษณุโลก เป็นผู้จุดคำถามชวนคิดขึ้นมา เพื่อให้เพื่อนครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ในจังหวัดพิษณุโลก ร่วมคิดและตระหนักถึงการจัดการเรียนรู้ที่ต้องมองผู้เรียนเป็นเป้าหมายสำคัญ ตลอดจนเกิดการปรับตัวและมอบการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อเด็กอย่างแท้จริง ในขณะที่แวดวงการศึกษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

การศึกษาไทยต้องให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ของผู้เรียนมากกว่าผลลัพธ์การแข่งขัน

การสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อตัวผู้เรียนในทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องมิได้จำกัดแค่บุคลากรภาคการศึกษา แต่ต้องมาจากทุกภาคส่วนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย สิ่งสำคัญ คือ จำเป็นต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์ของผู้เรียน และการออกแบบกระบวนการเรียนการสอนเพื่อสร้างสมรรถนะ (Competency) แก่ผู้เรียน เพื่อลดการยึดติดกับความรู้ทางวิชาการที่มากเกินไปหรือใช้บรรทัดฐานทางสังคมเป็นตัวชี้วัด

จะเห็นว่าบางกรณีเด็กจบการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่กลับไม่รู้จักตัวตนของตนเอง เพราะครูไม่สามารถจัดการศึกษาเพื่อให้เด็กรู้จักตัวตนของพวกเขาได้ ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวของการศึกษาไทย ฉะนั้นการศึกษาไทยต้องปรับใหม่ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพร้อมหนุนเสริมการทำงานสู่การเปลี่ยนแปลงการศึกษาของจังหวัดพิษณุโลกในร่องการทำงานใหม่ที่ให้ความสำคัญความเป็นมนุษย์ของผู้เรียนมากกว่าผลลัพธ์ทางการแข่งขัน

ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร
อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการดำเนินโครงการขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเองเชิงพื้นที่ (TSQM-A) จังหวัดพิษณุโลก

การศึกษาต้องต่อยอดให้คนมีงานทำและดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข

การตีความคำว่า ‘ผู้เรียน’ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการเกิดเป็นคนสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือการมีงานทำ หากการศึกษาสามารถส่งเด็กให้มีงานทำในอนาคตตามความถนัด และตามศักยภาพที่เขามี นั่นเป็นการพัฒนาผู้เรียนที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต เช่น อยากเป็นครูแล้วได้เป็นครู ซึ่งการได้ทำในสิ่งที่ถนัดย่อมนำมาซึ่งความสุข

ฉะนั้น การศึกษาต้องต่อยอดให้คนมีงานทำและดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข ซึ่งสภาพสังคม ความต้องการแต่ละยุคมีความต่างกัน หลักสูตรการเรียนการสอนย่อมต้องปรับตามสภาพแวดล้อมด้วย การปรับตัวดังกล่าวครูตระหนักดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นครูต้องเข้าใจในส่วนนี้ก่อน พร้อมเรียนรู้และปรับเปลี่ยนวิถีแบบเดิมหนุนเสริมไปสู่รูปแบบใหม่ เพื่อต่อยอดการเรียนรู้เกี่ยวกับงานของเด็ก จัดการศึกษาให้ได้ทำงานตามความถนัด และส่งเด็กไปสู่อนาคตที่มีคุณภาพ

ดร.ปกรณ์ ประจัญบาน
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ครูจงอย่าละเลยการพัฒนาความเป็นคนควบคู่กับเนื้อหาวิชา

ปัจจุบันครูมักจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนได้เรียนมากกว่าได้นำไปใช้ในชีวิตจริง หรือในมิติของการทำงานจริง เช่น ผู้บริหารบางคนสอบได้ที่หนึ่งในการเข้ารับราชการ แต่ไม่สามารถนำความรู้มาพัฒนาได้ ครูสอบบรรจุได้ แต่ไม่สามารถจัดการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความต้องการหรือศักยภาพผู้เรียน เพื่อให้นำไปใช้และเกิดประโยชน์ต่อชีวิต เพราะทุกคนต่างเน้นที่เนื้อหารายวิชามากกว่าความเป็นมนุษย์

ขณะเดียวกัน หากครูสามารถสอนความเป็นคนให้แก่เด็กได้ เด็กจะนำความรู้ไปพัฒนาความคิดและการใช้ชีวิตของตนเองได้ ฉะนั้นการมุ่งเป้าไปที่เนื้อหาวิชาแต่เพียงอย่างเดียวเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะเมื่อมนุษย์ขาดความเป็นคน สังคมย่อมขาดความเจริญ การพัฒนาจะไม่เกิดขึ้น ขาดความต่อเนื่อง และไม่ยั่งยืน ดังนั้น ครูจงอย่าละเลยการพัฒนาความเป็นคนควบคู่กับเนื้อหาวิชา เพราะเราไม่ได้ต้องการคนเก่งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการคนดี คนที่มีทักษะและนำความรู้ไปต่อยอดในชีวิตจริง และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

ดร.ผกาภรณ์ พลอยสังข์
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2

ครูต้องสังเกตศักยภาพของเด็กเพื่อนำมาเป็นฐานการเรียนรู้ และแก้ปัญหาไปทีละจุด

ตนเองมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจของครูท่านหนึ่งซึ่งพบปัญหาเด็กไม่มาโรงเรียน และออกกลางคัน เนื่องจากอายที่ไม่เก่งวิชาการ และสอบไม่ผ่าน ซึ่งครูท่านนั้นได้ไปเยี่ยมเด็กที่บ้านและพบว่าอาศัยอยู่กับคุณตา แต่สิ่งที่ครูสังเกตได้ คือ บ้านของเด็กมีต้นกล้วยมากมาย จึงถามตาของเด็กว่าใครช่วยปลูก ซึ่งตาเล่าว่าหลานช่วยปลูกและช่วยดูแล ครูจึงเกิดแนวคิดและให้เด็กคนนี้ไปสอนเพื่อนที่โรงเรียนเกี่ยวกับการปลูกต้นกล้วย เพื่อให้เขาได้ลองทำสิ่งที่ถนัด หลังจากนั้นก็บูรณาการวิชาต่าง ๆ เรื่องกล้วย ทำให้เด็กเริ่มมีความสนุก เริ่มกลับเข้ามาเรียน สนใจในเนื้อหาวิชา และเรียนจบหลักสูตรขั้นพื้นฐาน ผลลัพธ์ดังกล่าวมาจากครูที่เห็นความสำคัญของศักยภาพของเด็กว่าทุกคนไม่ได้เก่งวิชาการ และนำความสามารถของเด็กนำมาเป็นฐานการเรียนรู้ เพื่อแก้ปัญหาไปทีละจุด

ดร.พรปวีณ์ คงนันทิพัฒน์
รองศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลก