“ผมไม่คิดว่าจะมีใครตกหล่น ถ้าเรายอมเอื้อมมือไปหาเขาก่อน”
ชื่อของโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นที่รู้จักในกลุ่มแวดวงการศึกษาตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ด้วยโมเดลการศึกษา ‘ห้องเรียนระบบสอง’ ที่ ‘ผอ.พิเศษ ถาแหล่ง’ นำมาใช้ในโรงเรียนเพื่อป้องกันปัญหานักเรียนเสี่ยงหลุดระบบการศึกษา หรือหากหลุดระบบการศึกษาไปแล้วก็สามารถกลับเข้าระบบการศึกษาตามความยืดหยุ่นของปัจจัยหรือสภาพแวดล้อมของเด็กคนนั้นๆ ได้
หัวใจสำคัญของห้องเรียนระบบสองคือ ความยืดหยุ่น โดยครูในโรงเรียนจะมีการสังเกตนักเรียนว่าเข้าข่ายเสี่ยงหลุดหรือหลุดจากระบบศึกษาหรือเปล่า และจะเริ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนคนนั้นๆ พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็ก เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา หากแก้ปัญหาได้สำเร็จและยั่งยืน เด็กก็จะเรียนต่อในระบบปกติต่อไป แต่ถ้าไม่สามารถแก้ได้ หรือไม่ยั่งยืน ก็จะแนะนำให้ตัวนักเรียนย้ายไประบบสอง
ปัจจัยหลักๆ ที่ผอ.พิเศษ เห็นระหว่างการทำงานคือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเด็กเสี่ยงหลุดระบบหรือหลุดระบบการศึกษาไปแล้วคือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และความไม่ยืดหยุ่นของระบบที่ไม่สามารถเข้ากับสภาพแวดล้อมของเด็กแต่ละคนได้

“เด็กอยากมาโรงเรียน แต่ปัญหาคือเขาไม่มีรายได้ ประกอบกับมาโรงเรียนแล้วขาดรายได้ บางคนต้องไปช่วยครอบครัวหารายได้ ข้อนี้ทำให้เด็กอยู่ในภาวะที่เสี่ยงหลุดระบบ อีกอย่างผมมองว่าเป็นระบบของการศึกษาที่อาจจะไม่ตอบสนอง หรือเด็กอาจจะไม่เหมาะกับระบบวิธีการเรียนที่ต้องมา 8 โมงเช้า กลับ 4 โมงเย็น เพราะอะไรต่างๆ มันเปลี่ยน ถ้าเรายังอยู่ในระบบหรือวิธีคิดเดิมๆ ผมว่ามันแข็งตัวเกินไป หมายถึงระบบการจัดการศึกษาในขณะนี้ทำให้เด็กหลายคนรู้สึกไม่เหมาะกับระบบนี้เลยลาออกดีกว่า”
ก่อนปี 2564 ที่โรงเรียนจะก่อร่างโครงสร้างห้องเรียนระบบสอง ความหนักหนาของปัญหาที่เด็กๆ แต่ละคนเจอ ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงของโควิด-19 ระบาด ซึ่งเป็นช่วงปีที่ผอ.พิเศษ เริ่มมองเห็นความผิดปกติของเด็กในโรงเรียน แม้ว่าทางโรงเรียนจะไม่ได้เก็บข้อมูลของเด็กหลุดระบบชัดเจน
“ทุกปีจะมีเด็กหลุดระบบ หรือเสี่ยงหลุดระบบ 7-8 ราย มีเด็กหลายคนที่เรียนออนไลน์อยู่บ้าน อยู่ๆ ก็ไม่ยอมมาโรงเรียน ซึ่งผมก็เป็นคนในพื้นที่ห้วยซ้อ เห็นเด็กแต่ละคนก็คนในพื้นที่ ลูกก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ ถ้าเด็กหายไปไม่ใช่เรื่องดี มันต้องเกิดอะไรขึ้นกับเขาแน่”
“พอมีเสียงจากเด็กว่า ‘ครูครับ ผมไม่ไหว’ เราก็ต้องทำอะไรสักอย่าง”
ห้องเรียนระบบสองจึงเกิดขึ้นพร้อมกับความร่วมกับคณะครูในโรงเรียนเรื่อยมา ต่อมาได้ขยายความร่วมมือภายใต้โครงการห้องเรียนข้ามขอบ ร่วมกับโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) โดยการสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อขับเคลื่อนการสร้างระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น โดยพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่ ที่ผสมผสานทั้งการเรียนรู้ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน สร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่หลากหลายและปลอดภัย ช่วยเชื่อมรอยต่อต่างๆ ในระบบการศึกษา โดยอาศัยการสร้างความร่วมมือกับชุมชน องค์กรท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการร่วมกันการออกแบบสร้างต้นแบบนวัตกรรมการจัดการศึกษาที่มีความยืดหยุ่น โดยมุ่งหวังว่าระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค สร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายและตอบโจทย์ชีวิตของตัวเองมากขึ้น
ผอ.พิเศษบอกว่าห้องเรียนระบบสองไม่ได้เกิดจากนโยบายส่วนกลาง แต่มาจาก ‘หัวใจของครู’กลุ่มเล็กๆ ที่เริ่มต้นด้วยการอยากช่วยเด็กเพียงคนสองคนแล้วขยายผลออกมา
โดยส่วนที่ยากที่สุดของการทำห้องเรียนระบบสองคือการปรับทัศนคติของครู เนื่องจากการทำงานห้องเรียนระบบสองต้องมีการวัดผล หรือติดตามผลงานด้วยวิธีที่ต่างจากเด็กห้องเรียนปกติ ทำให้ครูมีภาระเพิ่มเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ตอนทำห้องเรียนระบบสองแรกๆ มีแรงเสียดทานจากคณะครูว่าเด็กบางคนไม่เข้าเรียนแต่ยังต้องมีเกรดให้ แต่ก็พยายามบอกครูๆ เขาว่าอย่าคิดว่าวิชา หรือเกรดเป็นของตัวเอง อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องเอาเด็กเป็นศูนย์กลาง หรือพยายามสลัดความคิดเรื่องภาระออกไปให้เขา ถ้าครูคนไหนเต็มใจทำก็ทำ ถ้าไม่ทำเราก็ไม่บังคับ”
ปัจจุบันโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมฯ จัดตั้งคณะครูทำงานเกี่ยวกับห้องเรียนระบบสองขึ้นซึ่งมี ครูกิ๊ก พรรณภา ชิมโพธิ์ครัง และ ครูนุ้ย จารุณี ทายะ เป็นหัวหน้าผู้ดูแลเป็นหลัก ร่วมกับครูคนอื่นๆ อีกกว่า 5 คน

“คนที่เป็นเซ็นเตอร์จริงๆ คือครูกิ๊กกับครูนุ้ย แต่ก็พยายามทำให้ครูทุกคนรู้สึกว่าห้องเรียนระบบสองเป็นงานของทุกคนโดยที่ครูกิ๊ก ครูนุ้ย ผมและรองผอ.เป็นคนวางแผนและออกแบบงานให้ แต่ไม่ได้แบ่งเป็นกองงานหรือหน่วยงานใหม่ เพราะกลัวว่าการไปทำแบบนั้นจะเป็นการตีกรอบการทำงานเกิน อย่างเช่นถ้าบอกครูทั้งโรงเรียนว่าห้องเรียนระบบสองมีครูทำงาน 7 คน แล้วครูอีก 30 คนก็จะคิดว่านี่ไม่ใช่งานของฉัน ดังนั้นตอนนี้เลยลงตัวว่าการทำงานด้านห้องเรียนระบบสองมีคีย์แมน แล้วเราก็ยังต้องการตัวซัพพอร์ต ตัวเติมเต็ม ตัวช่วยเหลือ ตัวช่วยพยุงอยู่นะ”
สิ่งหนึ่งที่ ผอ.พิเศษ พยายามทำให้ครูทุกคนเห็นด้วยกับห้องระบบสองมากที่สุด คือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เห็นเด็กเป็นศูนย์กลาง และพยายามตัดภาระครูบางอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์ออกไป เพื่อให้ครูได้มีเวลาทำงานเต็มที่จริงๆ
“งานประกวดวิชาการต่างๆ ที่เคยให้ครูทำ อย่างการบังคับทำเล่มผลงานหนาๆ ในฐานะผู้บริหารก็ลดส่วนงานด้านนั้นลง บอกครูๆ ไปว่าทำไปแล้วได้ประโยชน์น้อย ภาระครูนอกจากงานสอนก็ลดลง แล้วมีเวลาไปโฟกัสสิ่งที่เราตั้งใจทำมากกว่า ส่วนครูใหม่ที่เข้ามาถ้าเขารับไม่ได้กับที่โรงเรียนมีการวางแผนงานที่เกี่ยวกับเด็กห้องเรียนระบบสอง ผมก็จะยืนยันว่าเป้าหมายของโรงเรียนคือเด็ก วิธีคิดเดิมๆ อาจจะใช้ไม่ได้ ถ้าคุณปรับเปลี่ยนไม่ได้ก็ต้องปรับเปลี่ยนสถานที่”
ด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการ ในฐานะผู้บริหารโรงเรียน ผอ.พิเศษ ยอมรับว่าต้องมีการจัดการคนทั้งไม้แข็ง และไม้อ่อน และย้ำว่าการทำงานห้องเรียนระบบสอง สิ่งที่ยากที่สุดคือการปรับทัศนคติของครู
“ผมย้ำตลอดว่าเราต้องมีการปรับแนวคิดกันตลอดเวลา ถ้าอยู่แบบเดิมๆ มันก็ได้ผลลัพธ์แบบเดิมๆ โดยเฉพาะการทำงานกับคน เพราะคนเปลี่ยนไปตลอด และปัจจัยของคนแต่ละรุ่นเขาเปลี่ยนไป ดังนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน แต่อยากได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า มันก็ไม่มีทาง โดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก”
โรงเรียนที่ตามเด็ก ไม่ใช่ให้เด็กตามโรงเรียน
“เด็กยังไม่หลุด ถ้าเรายังไม่ปล่อย” ครูกิ๊ก พรรณภา ชิมโพธิ์ครัง หนึ่งในครูผู้ดูแลห้องเรียนระบบสองกล่าว
ครูกิ๊กมองว่าห้องเรียนระบบสองสามารถโอบอุ้มเด็กที่กำลังจะหลุดจากระบบการศึกษาไว้ให้นานที่สุด เพื่อให้พวกเขายังมีโอกาสเดินต่อในชีวิตได้
“บางคนเขาน่าสงสารนะ เขาอยากเรียน เราก็เลยต้องมาคุยกันว่าเราสามารถเชื่อมโยงเด็กกับชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากการทำงาน การอยู่ในชุมชน หรือแม้กระทั่งทักษะในบ้านของตัวเอง แล้วนำสิ่งนั้นมาตีความและประเมินผลการเรียนได้ไหม”
‘อันซีน’ คือเด็กระบบสองคนหนึ่งที่ครูนุ้ยชักชวนกลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง หลังจากที่เขาออกจากโรงเรียนตอนอายุ 15 ปี และไปทำอาชีพกรีดยาง ปลูกข้าว เลี้ยงดูย่าที่บ้าน

“ครูนุ้ยชอบมาหาที่บ้าน วันนั้นเจอครูนุ้ยที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วครูบอกว่ามีการเรียนแบบระบบสองนะ เรียนแบบเอากิจกรรมมาวัดผลจบได้ ก็เลยตัดสินใจไป วันต่อมาก็ชวนย่าไปเซ็นเข้าเรียน” อันซีนกล่าวถึงเส้นทางการเข้าเรียนห้องเรียนระบบสอง
“เด็กแบบอันซีนมีเยอะเลย คือติดภาระหลายอย่าง แต่พอมีห้องเรียนระบบสองทำให้เขาเข้าถึงโอกาสได้มากขึ้น”
ครูนุ้ยเล่าว่าแต่เดิมหลุดระบบในห้วยซ้อส่วนหนึ่งคือ ‘เด็กในห้องเรียนปกติ’ ที่ค่อยๆ ขาดเรียน ติดศูนย์ และสุดท้ายเริ่มหลุดจากระบบโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ตอนแรกเขาแค่ไม่ไหว ขอพัก แต่ถ้าไม่มีพื้นที่ให้เขาพักอย่างเข้าใจ เขาก็จะหายไปเลย เด็กบางคนล้าเพราะทำงานส่งแก๊สเพื่อช่วยแม่ บางคนไม่มาโรงเรียนเพราะต้องเลี้ยงน้อง บางคนมีบาดแผลจากครอบครัวที่ไม่เคยได้รับความรัก” ครูนุ้ยกล่าว
“เราต้องไม่รีบตัดสินเด็ก ว่าเขา ‘ไม่ดี’ เพียงเพราะเขา ‘ไม่มาเรียน’” ครูกิ๊กเสริม
ปี 2568 ห้องเรียนระบบสองมีนักเรียนในโครงการทั้งหมดกว่า 70 คน แบ่งเป็นที่ห้วยซ้อฯ 50 คน และที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา จ.เชียงใหม่ 21 คน
หัวใจของห้องเรียนระบบสอง คือความยืดหยุ่น โดยมีการจัดการเรียนรู้ที่ไม่ได้แค่พบกันเท่านั้น แต่มีความยืดหยุ่นด้วยการออกแบบแบบ 6 Ons คือ Online การเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ ที่จะเปิดการเรียนการสอนโดยครูทุกวันพุธ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 18.00 -19.00 น. On-site พบปะกันที่โรงเรียนเพื่อชี้แจงรายละเอียดการเรียน ทั้งหมดแค่ 3 ครั้ง คือต้นเทอม กลางเทอม และปลายเทอม On-Demand เรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านวิดิโอหรือเอกสาร โดยบันทึกประจำวันแต่ละวันว่าทำงานอะไร พบปัญหาอะไร หรือมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ลง
ร่องรอยการเรียนรู้ด้วยการเก็บภาพหรือวิดิโอ On-Hand เรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการทำใบงานหรือเอกสาร โดยเรียนจากคลิปที่โรงเรียนทำ 5-10 นาที อย่างน้อยกลุ่มสาระละ 2 คลิป On-Home การเรียนรู้จากอาชีพ หรือชีวิตครอบครัวของนักเรียนเอง เช่นการเข้าไปมีส่วนร่วมทำกิจกรรมกับที่บ้าน ทำงานบ้าน ปลูกผัก ช่วยกิจการครอบครัว On-Community เรียนรู้จากชุมชน เน้นการเข้าไปมีส่วนร่วมต่างๆ กับชุมชน เช่น เข้าร่วมกิจกรรมวันสำคัญทางพุทธศาสนา
“เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องเรียนทั้ง 6 Ons เอาที่เขาพร้อมและสะดวก เพราะเขามีข้อจำกัดอยู่แล้ว ถ้าไปยกว่าเธอต้อง 6 Ons มาเป็นเงื่อนไขในชีวิตเขาอีกมันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เรามีข้อเสนอเพิ่มด้วย ถ้านอกเหนือจาก 6 Ons แล้วเธอมีอะไรดีๆ ให้ครูแทน แล้วโรงเรียนรับได้ก็เอามาหนึ่งในการเรียนรู้เทียบจบ” ผอ.พิเศษกล่าว เช่นเดียวกับครูกิ๊กที่มองว่า
“ไม่ใช่เด็กต้องมาเข้ากรอบของโรงเรียน แต่โรงเรียนต้องยืดกรอบให้เข้ากับชีวิตของเด็ก”
สำหรับผู้ออกแบบห้องเรียนระบบสอง ผอ.พิเศษมองว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ ‘เรียนตามหลักสูตร’ แต่คือ ‘เรียนรู้จากชีวิต’
“เด็กห้องเรียนระบบสองไม่ต้องเข้าห้องเรียนไปเรียนแบบปกติ เขาก็ทำงานหาเลี้ยงชีพของตัวเองไป แต่ต้องมีบันทึกร่องรอยที่สามารถวัดผลประเมินการเรียนรู้ที่จับต้องได้ แต่เด็กๆ ไม่ต้องยุ่งยาก ก็เอางานของเขาที่ทำนี่แหละมาทำเป็นบันทึกร่องรอย แล้วก็จะมีครูเข้าไปสอบถาม ประเมินอย่างการทำนา ต้องใช้ปุ๋ยกี่กระสอบ ถ้าเขาตอบได้ นี่ก็คือการเรียนรู้ของเขาแล้ว เขาก็สามารถเรียนจบได้เหมือนคนอื่นๆ” ผอ. พิเศษ กล่าว
ห้องระบบสอง ไม่ใช่ ‘ทางเลือกที่สอง’ แต่คือ ‘โอกาสที่สอง’
“ผมคือคนหนึ่งนะที่เกือบหลุดระบบ แล้วโดนโรงเรียนผลักออก เท่าที่จำได้คือตอนมัธยมครูเรียกประชุมว่าจะให้ผมเรียนต่อที่นี่ไหม แล้วไม่มีครูคนไหนกล้ายกมือรับรองผม ไม่มีใครเชื่อว่าผมจะเปลี่ยนได้” ครูตั้ม ศุภชัย อุ่นแก้ว เล่าความหลังในชีวิตให้ฟัง จากวันนั้นถึงวันนี้ ครูตั้ม กลายเป็นรองผู้อำนวยการของโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมฯ และทำงานร่วมกันกับผอ.พิเศษ

“พอผอ.แจ้งว่าปัญหาของเด็กหลุดระบบโรงเรียนต้องเข้าไปแก้ไข ผมยกมือด้วยคนแรกเพราะรู้ซึ้งดีว่าการที่โรงเรียนผลักเด็กออกเป็นยังไงเพราะเจอมากับตัว”
ครูตั้มบอกว่าห้องเรียนระบบสอง ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อตามใจเด็กเกเร หรือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้เด็กที่เรียนไม่เก่ง แต่เป็นการมอบโอกาสการเข้าถึงการศึกษาให้คนคนหนึ่งแบบไม่มีข้อยกเว้นว่าเขาคนนั้นจะถูกสังคมมองอย่างไร
“ผมไม่อยากให้ใครต้องเจอแบบผมอีก มันเจ็บ และมันเหงามาก” ครูตั้มบอกเล่า
จุดมุ่งหมายของห้องเรียนระบบสองจริงๆ คือ เด็กได้เกรดอะไรเป็นเป้าหมายระหว่างทาง เป้าหมายหลักคือให้เด็กได้เรียนจบ และมีวุฒิการศึกษาเพื่อไปต่อยอดชีวิต
“เด็กกลุ่มนี้ผมมองว่าเขายังไม่มีเป้าหมายในเรื่องการทำงานที่ชัดเจน เป้าหมายใหญ่ๆ คือขอให้มีรายได้ งานอะไรเขาก็ทำ” ผอ.พิเศษเล่ามุมมองต่อเด็กๆ ในห้องเรียนระบบสองให้ฟัง
“เด็กบางคนต้องออกโรงเรียนมาช่วยยาย บางคนเจอปัญหารอบตัวแบบหนักหนาสาหัส เขาเลยมาเรียนแบบปกติไม่ได้ แต่เขาก็ควรได้รับการศึกษาเพราะโรงเรียนไม่ควรผลักเขาออก ระบบสองเลยออกมารองรับเด็กเหล่านี้ และก็ต้องมองว่าการให้เกรดแบบเรียนปกติอาจจะไม่เหมาะกับพวกเขา บางคนทำนา ทำงานเซเว่นเกรดไม่จำเป็น แต่เขาอยากได้วุฒิเพราะอย่างน้อยก็การันตีได้ว่าไปทำงานแล้วจะได้มากกว่าค่าแรงแรงงานนอกระบบ” ครูตั้มอธิบาย
แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งครูกิ๊กและครูตั้มต่างเห็นตรงกันว่า การทำงานกับเด็กกลุ่มนี้ไม่ง่าย โดยเฉพาะเด็กบางคนหายไปทั้งเทอม บางคนไม่ตอบกลับแม้พยายามติดต่อแล้วหลายครั้ง
“บางวันเราก็เหนื่อย เราก็เบิร์นเอาท์นะ เราต้องถอย เปลี่ยนคนดูแล ปรับอารมณ์ ไม่งั้นจะเผลอมีอคติ” ครูตั้มบอก
ผอ.พิเศษย้ำว่า ห้องเรียนระบบสองไม่ใช่การโอบอุ้มเด็กบางคน โดยเฉพาะเมื่อตอนจัดตั้งห้องเรียนระบบสองใหม่ๆ แล้วมีเด็กห้องเรียนปกติมาขอสมัคร เพราะคิดว่าไม่ต้องเรียนหนัก ไม่ต้องส่งการบ้าน

“พอเราเปลี่ยนมายด์เซ็ตครูแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของครูอีกนั่นแหละที่จะเข้าไปติดตามพฤติกรรมได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนระบบสองได้ และไม่ใช่เด็กระบบสองทุกคนจะเรียนจบ เด็กบางส่วนเป็นเด็กที่ทิ้งโอกาส เราพยายามไปตามกลับมาอยู่ในระบบ เด็กที่ทิ้งโอกาสจะยากและเหนื่อยกับการติดตามมาก แต่บนพื้นฐานของความยาก ครูจะต้องไม่ตัดสินว่าปล่อยไปเลย ต้องมีมายด์เซ็ตว่านี่คือใบเบิกทางสำคัญสำหรับชีวิตเขา ต้องส่งต่อเขาให้ได้แม้เขาจะไม่เปิดรับมากมาย หรือตอบสนองยังไม่เยอะก็ตาม”
ผอ.พิเศษเปรียบการทำงานว่าเหมือนการปรบมือ แต่ห้องเรียนระบบสองมีมือของครูค้างไว้ฝั่งหนึ่ง ซึ่งรอมือเด็กอีกฝั่งมาประกบกัน
“อยู่ที่ว่าเขาจะปรบมือกับครูมากน้อยแค่ไหน ครูตั้งมือรอว่าเขาจะปรบมือมามั้ย ปรบมาแรงก็เสียงดัง ก็ชัดเจน บางคนก็หายไปเลย ครูก็ตั้งมือรอ พร้อมจะช่วยนะ แต่เธอต้องฟีดแบ็กกลับมาด้วย” ผอ.พิเศษขยายความ
ไม่ต้องทำให้เด็กทุกคนเก่งที่สุด แต่เราควรทำให้เด็กทุกคนไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ห้องเรียนระบบสอง กลายเป็นโมเดลที่หลายโรงเรียนเข้ามาศึกษาดูงาน ผอ.พิเศษตอบชัดว่าพร้อมให้ข้อมูลเต็มที่ “แต่ถ้ามาขอสไลด์ หรือแผนงานชัดเจนเราไม่มีให้หรอก (หัวเราะ) เพราะตลอดการทำงานเราปรับเปลี่ยนมาโดยตลอด และต้องแจ้งไว้ชัดเจนว่าครูที่นี่ทำงานกันหนักจริงๆ”
ห้องเรียนระบบสอง คือกระจกสะท้อนระบบการศึกษาที่เห็นเด็กเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่ผู้เรียน และเชื่อในโอกาส จึงมีการปรับวิธีการสอน รูปแบบการเรียน และการประเมินผลที่สอดคล้องกับตัวนักเรียน ที่เรียกว่า ‘บันทึกร่องรอยการเรียนรู้’ ที่แม้ว่าบางคนอายุเกิน 20 ปี ยังไม่จบม.6 โรงเรียนห้วยซ้อฯ ก็ยังเปิดประตูรออยู่
“ใครจะบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์เรียน? เราไม่เชื่อแบบนั้น”

(รูป: 06_ผอ.พิเศษ-ถาแหล่ง.jpg)
ผอ.พิเศษ กล่าวว่าบันทึกร่องรอยสามารถปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของแต่ละคนได้ และมีความยืดหยุ่นสูง ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เด็กๆ ไม่ย่อท้อต่อการเรียนรู้ และทำให้เห็นว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องง่ายที่แม้เข้าสวนไปตัดยางก็นำมาเป็นทักษะได้
“บันทึกร่องรอยของเด็กแต่ละคนจะมีครูผู้ดูแล ติดตาม และรวบรวมคําตอบของเด็กๆ มาวัดผลตามหลักสูตรตามตัวชี้วัดแล้วแปรเป็นผลการเรียนให้เขา ดังนั้นเด็กๆ ไม่ต้องกลัว ถ้าเขามั่นใจในสิ่งที่ทำ เขาก็ได้รับวุฒิเหมือนคนเรียนปกติได้”
ส่วนสำคัญของการประเมินบันทึกร่องรอยการเรียนรู้ หรือการแปลงกิจกรรมในชีวิตมาเป็นผลทางการเรียนที่คณะครูห้วยซ้อฯ ต้องระลึกเสมอคือทําอย่างไรให้เด็กยังรู้สึกและเห็นว่ายังมีความหวังในเรื่องการเรียนอยู่ แทนที่จะทําให้เป็นการประเมินผลที่ทําให้รู้สึกถึงความยากลําบาก ท้อถอย จนไม่ต้องการที่จะเรียนรู้ต่อ
การทำงานของคณะครูเข้มข้นที่สุดคือช่วงการประเมินจบ โดยต้องตรวจสอบบันทึกร่องรอย การประเมิน ถอดบทเรียนของเด็กๆ แต่ละคนเพื่อประชุมกับคณะครูทุกคนอีกที นอกจากนี้ยังมีการแนะแนวทางเลือกให้กับคนที่สนใจเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น

“ใจจริงผมไม่อยากให้มีเด็กระบบสองเพิ่มขึ้นสักคนเลยนะ ฟังดูใจร้ายแต่จริงๆ คืออยากให้ทุกคนได้เรียนในระบบปกติ ถ้าไม่มีห้องเรียนระบบสองแล้วก็คือจะไม่มีเด็กคนไหนเสี่ยงหลุดระบบแล้ว แต่ตอนนี้ก็พยายามทำได้ สร้างทางเลือกให้เด็กได้มากที่สุด พวกเขาก็เหมือนลูกหลาน”
ผอ.พิเศษ มองว่าถ้าเปรียบเปรยว่าครูคือเรือจ้าง ตัวเองก็คงเป็นเรือจ้างธรรมดา แต่ขอบรรทุกไม่เลือกผู้โดยสาร
“เป็นเรือจ้างธรรมดานี่แหละ อาจจะรับเด็กได้จำนวนจำกัดตามพื้นที่และมีกำลังที่มี อาจจะเป็นเรือที่ขับเคลื่อนไปช้าบ้างเร็วบ้าง ตามสถานการณ์ ตามกำลังที่เราบรรทุกแล้วก็พาเขาไปถึงฝั่งหนึ่งที่เขามีเป้าหมาย ในระหว่างทางผู้โดยสารเรือเราอาจจะหลุดจะตกไปบ้าง แต่ถ้าเราไปถึงแล้ว เราก็อาจจะต้องย้อนกลับมารับเขา รอเขานิดนึง เท่าที่เรารับได้ แล้วก็เป็นเรือจ้างที่บรรทุกไม่เลือกผู้โดยสาร ช่วยผู้โดยสารทุกคนที่จะข้ามฝั่ง” ความในใจทิ้งท้ายจาก ผอ.พิเศษ
เรื่อง : มยุรา ยะทา
ภาพ : ธาตรี แสงมีอานุภาพ
ภาพประกอบ : ภัทราภรณ์ สงสาร