‘โรงเรียนสนามฟุตบอล’ ของเด็ก ๆ ลำปางหลวง

‘โรงเรียนสนามฟุตบอล’ ของเด็ก ๆ ลำปางหลวง

เด็ก ๆ ที่เรียนหนังสือข้างสนามฟุตบอล’

หลายคนอาจแปลกตาเมื่อเห็นภาพเด็กชายใส่เสื้อบอลสวมสตั๊ด นั่งทำการบ้านบนแสตนด์ ขณะเพื่อนร่วมทีมวิ่งวอร์มเรียกเหงื่ออยู่ในสนามฟุตบอล แต่กับน้อง ๆ ทีมฟุตบอลลำปางหลวง นี่คือภาพชินตาก่อนเซสชั่นซ้อมฟุตบอลช่วงสี่โมงเย็นจะเริ่ม

เช่นกันกับวันนี้ ‘อิ๊กคิว’ เอางานมาทำที่ข้างสนาม พลางเหลือบตามองเพื่อนร่วมทีมที่วิ่งอยู่ไกล ๆ

จนงานเสร็จ เขาจึงเก็บใส่กระเป๋า แล้ววิ่งสปีดไปสมทบกับเพื่อน  

ส่วน ‘แทค’ เพิ่งขี่จักรยานมาถึง หอบเอาสมุดงานมาด้วย พอลงจากรถ แทคเดินไปบอกโค้ชต้นว่าขอลาซ้อมหนึ่งวัน เพื่อไปทำงานส่งครู    

นี่คือชีวิตประจำวันของน้อง ๆ กลุ่มหนึ่งที่ตำบลลำปางหลวง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเด็ก ๆ ที่เคยหลุดจากระบบการศึกษา และได้กลับมา เพราะพวกเขาชอบเล่นฟุตบอล และมีชุมชนที่เป็นตาข่ายรองรับ สนับสนุนหาทางให้เปิดโลกกว้าง พร้อมยังได้อยู่บนเส้นทางการเรียนรู้ที่สอดคล้องเหมาะสมกับชีวิต   

‘ฟุตบอล’ จึงประหนึ่งเป็นเข็มทิศนำทาง พาเด็ก ๆ กลับมายังเส้นทางไปสู่วุฒิการศึกษา และเชื่อมต่อถึงระดับการศึกษาที่สูงขึ้น

สำหรับน้อง ๆ เหล่านี้ ‘สนามฟุตบอลจึงมีความหมายเท่ากับโรงเรียน’ ที่เป็นทั้งพื้นที่พัฒนาทักษะฟุตบอล และเป็นประตูสู่การเรียนรู้ ค้นพบโอกาส หรือเป็นพื้นที่หลบภัยพักใจจากนานาสิ่งที่พบเจอ ในแต่ละช่วงตอนของการเติบโต

‘ไม่คิดว่าการเตะบอลจะช่วยพากลับมาเรียน’

น้อง ๆ กลุ่มนี้ก็เหมือนเด็กนับล้านที่ใช้เวลาช่วงเย็นรวมตัวกันเตะฟุตบอล ในสนามที่ปะปนด้วยเด็กที่เรียนหนังสือในโรงเรียน เด็กที่หลุดออกมาจากระบบการศึกษา และเด็กที่ถึงจะเรียนอยู่ แต่ก็สะสมศูนย์ ร มส จนเตรียมจะเปลี่ยนสถานะเป็นเยาวชนที่หลุดจากระบบในเวลาอันใกล้

‘ไก่โต้ง’ หนึ่งในสมาชิกทีมฟุตบอลลำปางหลวง บอกว่า “เมื่อก่อนพวกเราไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ ถ้าใครหลุดออกมาจากโรงเรียนก็แทบไม่มีทางได้กลับไป หลายคนเลยจับกลุ่มกันแว้นรถ บางคนไปหลงทางกับยาเสพติด หรือบางคนก็ไปทำงานหาเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ และถึงแม้ว่าใครสักคนจะอยากได้โอกาสเริ่มใหม่ เขาก็ไม่รู้ว่าต้องตั้งต้นตรงไหน

“ผมเคยติดเพื่อนจนเรียนไม่จบ เลยตัดสินใจไปทำงาน จนเวลาผ่านไปก็อยากกลับมาเรียน อยากมีวุฒิ ม.3 แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เคว้งคว้างหาทางอยู่นาน …ไม่คิดเหมือนกันว่าการเตะบอลจะทำให้เราได้กลับมาเรียน”

‘ไม่ชอบไปโรงเรียน แต่ตกเย็นเช็คชื่อที่สนามฟุตบอล’

สันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลตำบลลำปางหลวง หรือ ‘หมอตุ้ย’ ของชาวลำปางหลวง เล่าว่า “ทุกอย่างเริ่มจากสนามฟุตบอล ที่เป็นศูนย์รวมของคนทุกวัยที่มาออกกำลังกาย ทีนี้ผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเขาเห็นว่าเด็กชอบฟุตบอล เลยอยากให้เล่นกันอย่างมีเป้าหมาย จึงชวนตั้งเป็นทีม ช่วยกันดูแลฝึกซ้อมแล้วพาไปแข่ง ในชื่อ ‘ชมรมเยาวชนลำปางหลวง’

“เป้าหมายของเราจริง ๆ ไม่ใช่ถ้วยแชมป์หรือเงินรางวัล ไม่ใช่อคาเดมีปั้นนักฟุตบอลอาชีพ แต่คือการดูแลกันโดยใช้ฟุตบอลช่วยจุดประกาย เพราะเรารู้ว่าถ้าเด็กมีอะไรสักอย่างให้โฟกัส โอกาสที่เขาจะหลงไปกับเรื่องอื่น ๆ มันก็ลดลง สิ่งหนึ่งที่เรารู้จากความใกล้ชิดกันคือ เด็กเหล่านี้ไม่ได้เกเร บางคนหัวดีแต่ไม่ค่อยชอบไปโรงเรียน จนพอตกเย็นก็มาแล้ว ไปเช็คชื่อกันที่สนามฟุตบอล”

‘คู่แข่งที่ต้องเอาชนะ คือหาทางพาเด็ก ๆ กลับสู่การเรียนรู้’

‘ความใกล้ชิด’ จากการซ้อมและตระเวนแข่ง ทำให้พี่ ๆ โค้ชทีมลำปางหลวง พบว่ามีน้อง ๆ วัย 14-17 ปีในทีมจำนวนหนึ่งไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา และจึงกลายเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของโค้ช ที่อยากจะพาลูกทีมไปคว้าชัยชนะมาให้ได้

หมอตุ้ย บอกว่า “ข้อดีของการซ้อมฟุตบอลคือเราได้เจอเด็กเกือบทุกวัน แล้วทุกครั้งมันไม่ได้คุยกันแค่เรื่องฟุตบอล แต่ยังแตะไปถึงเรื่องชีวิต ครอบครัว สุขภาพ และแน่นอนสำหรับวัยของเด็ก ๆ คือเรื่อง ‘การเรียนหนังสือ’

“เราพบเด็กในทีมราว 20% หลุดจากระบบการศึกษา กลุ่มที่เยอะที่สุดคือไม่จบ ม.3 พอรู้อย่างนี้ก็มาคิดว่าเป็นอีกหนึ่งโจทย์ของทีม ที่เราอยากพาเขาไปเอาชนะให้ได้ แต่อย่างที่บอกว่าหลายคนหลุดออกมาเพราะไม่ชอบไปโรงเรียน ฉะนั้นถ้าจะยัดทื่อ ๆ ให้กลับไปตั้งหน้าตั้งตาเรียน สุดท้ายเดี๋ยวก็จะวนลูปเดิมคือหลุดออกมาอีก เลยมาคิดกันว่าการเรียนรู้ของเด็กกลุ่มนี้ ต้องเป็นรูปแบบที่สามารถยึดโยงเขาไว้ได้โดยไม่ต้องบังคับ ‘ฟุตบอล’ เลยกลายเป็นคำตอบนั้น”

‘Mobile School บอกเราว่า สนามฟุตบอลก็เป็นโรงเรียนได้’

ความพยายามนั้นมาบรรจบกับการทำงานตามมาตรการ Thailand Zero Dropout ที่ กสศ. และ ศูนย์การเรียน CYF กำลังมองหาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อจัดการศึกษาผ่าน mobile school

“วันที่รู้จักการเรียน Mobile School ผ่านศูนย์การเรียนเพื่อวุฒิ ม.3 หรือ ม.6 เราคิดว่าอาจพบทางออก แต่ยังไม่แน่ใจ จึงพากันไปดูงานที่ศูนย์การเรียน CYF จังหวัดนครพนม แล้วจึงเห็นรูปแบบการทำงานกับเยาวชนนอกระบบหลายกลุ่ม เห็นความสำเร็จของการพาน้อง ๆ ไปสู่วุฒิการศึกษา โดยเอาความสนใจและความถนัดมาออกแบบเป็นหลักสูตร เมื่อนั้นจึงมั่นใจว่า ‘โรงเรียนสนามฟุตบอล’ นั้น เป็นไปได้”

หมอตุ้ยขยายความว่า “มันยืนยันแนวคิดว่าเราใช้ฟุตบอลเป็นตัวเชื่อมถึงการเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะเด็กที่หลุดออกมาจากโรงเรียน ที่เราใช้วิธีเรียนผ่านศูนย์การเรียนควบคู่ไปกับการดูแลทีมฝึกซ้อม พาไปแข่งขัน จนระหว่างทางมีน้อง ๆ ในทีมสามารถจบ ม.3 ได้จากการเรียน Mobile School รุ่นแรก จากนั้นเราเปิดรับรุ่น 2 ซึ่งมีเด็กจากตำบลอื่น ๆ สนใจเข้ามาด้วย”

‘‘โรงเรียน’ ได้ตั้งขึ้นใหม่ บนพื้นที่ที่เด็ก ๆ ยินดีมีส่วนร่วม’

นับจากนั้น ‘สนามฟุตบอล’ จึงกลายเป็น ‘ห้องเรียน’ ที่ไม่จำเป็นต้องมีผนัง ไม่มีประตูปิด หากน้อง ๆ ก็พร้อมจะมาเช็คชื่อ มาส่งงาน มารับบทเรียนใหม่ ๆ ทุกวัน

หมอตุ้ยยังบอกว่า ‘โรงเรียนสนามฟุตบอล’ คือ ‘ผล’ จากการอยู่ร่วมกันนับเดือนนับปีของเด็กและผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง เป็นการเติบโตของชีวิตประจำวัน ของความฝัน ของความผูกพันที่เชื่อมระหว่างสนามฟุตบอลไปถึงการเรียนหนังสือ ซึ่งความคล้ายของสองสิ่งที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ไปพร้อมกันคือ ‘โอกาสไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย แต่ถ้ามันมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็ต้องพยายามคว้าเอาไว้ให้ได้’

ส่วนสำหรับชาวลำปางหลวง การพาน้อง ๆ กลับมาครั้งนี้ พวกเขาไม่กังวลอีกแล้วว่าจะมีใครหลุดหายไปไหนอีก เพราะตอนนี้ ‘โรงเรียนได้ตั้งขึ้นใหม่ บนพื้นที่ที่เด็ก ๆ ยินดีมีส่วนร่วม’ ท่ามกลางเพื่อนพ้องพี่น้องที่หลงใหลในสิ่งเดียวกัน

‘หลักสูตรที่ช่วยให้เห็นคุณค่าในตัวเอง’

“เวลาอยู่ในสนามผมรู้สึกตัวเองมีสมาธิ ไม่เหมือนตอนเรียนในห้อง ช่วงที่ตั้งใจเล่นฟุตบอลมาก บางวันผมซ้อมหนักตื่นไปเรียนไม่ไหว บางทีก็โดดเรียนไปแข่ง จนทำให้เรียนไม่จบ แต่วันหนึ่งผมกำลังเล่นฟุตบอลกับทีมแล้วมีผู้ใหญ่ชวนกลับมาเรียน ก็ดีใจครับที่ฟุตบอลพาเรากลับมาจนได้”

‘อิ๊กคิว’ นักเรียน Mobile School ตำบลลำปางหลวง รุ่น 2 เผยสาเหตุหลุดจากโรงเรียนและการพบเส้นทางกลับมา ที่ล้วนเกิดขึ้นเพราะฟุตบอล

“ตอนนี้ผมเรียนผ่านศูนย์การเรียน CYF เพื่อวุฒิ ม.3 ถ้าเรียนจบก็ตั้งใจจะกลับไปต่อ ม.4 ในโรงเรียนปกติ การเรียนแบบนี้ผมชอบที่เราเอาประสบการณ์มาเทียบโอนเป็นหน่วยกิตได้ ซึ่งมันช่วยให้เรายิ่งเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมี อย่างผมเองจะใช้เรื่องการเล่นฟุตบอล และการเล่นดนตรีไทยซึ่งเป็นอีกสิ่งที่สนใจมาเป็นกิจกรรมหลักในบทเรียน มันก็ทำให้เราเชื่อว่าจะเรียนจนจบและไปต่อได้ครับ”

‘แรงบันดาลใจจากอดีตทีมชาติ’

ทีมฟุตบอลลำปางหลวง ที่ประกอบขึ้นจากความฝันและหัวใจหลายดวงนี้ ไม่เพียงผลิบานจากภายใน หากยังดึงดูดแรงหนุนจากภายนอกมาสมทบ เมื่อ ‘จ่าเย็น’ มงคล ทศไกร อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทยนำทีมงานเข้ามาช่วยโค้ชรูปแบบการฝึกซ้อม และเตรียมพาน้อง ๆ บุกเยือนกรุงเทพมหานคร เพื่อเตะฟุตบอลนัดพิเศษ ในการแข่งขันฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7HD แชมเปียน คัพ 2025 ที่สนามศุภชลาศัย ในเดือนพฤศจิกายน 2568      

“สิ่งที่นำผมมาตรงนี้ คือการได้เห็นว่าฟุตบอลมีพลังเชื่อมเอาเด็กที่ไม่ได้เรียนกลับมาได้ ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งให้กลับมามีความสุข มีความหวัง มีทางไปต่อ และมีอนาคตที่ดีขึ้น แล้วผมเชื่อว่าการที่เด็กคนหนึ่งได้เจอเส้นทางของตัวเอง เขาจะพยายามทำสิ่งนั้นอย่างไม่ย่อท้อ และไม่ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร มันจะเปลี่ยนให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น     

“การมาเจอกันตรงนี้ ผมจึงอยากปลุกเร้าและส่งต่อแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ ได้มากที่สุด” โค้ชจ่าเย็นบอกถึงความตั้งใจ

‘ยิ่งกว่าถ้วยรางวัล คือแก้ ร 14 ตัว เพื่อจบ ม.3 พร้อมเพื่อน ๆ’

ไม่เพียงเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาได้กลับมา การมาของทีมโค้ชจ่าเย็น ยังขยายขอบเขตแรงบันดาลใจไปถึงน้อง ๆ กลุ่มเสี่ยงหลุด ให้เข้ามาสานฝันร่วมกัน เพื่อนำพลังจากสนามฟุตบอลไปใช้เปลี่ยนแปลงตัวเอง

เช่น ‘แทค’ ซึ่งกำลังเรียนชั้น ม.3 และสะสม ร จากการขาดส่งงาน 14 ตัว สามารถกลับมาฮึดแก้ ร จนหมดได้ในช่วงเวลาสองเดือน    

“ผมเพิ่งร่วมทีมได้ไม่นาน มีผู้ใหญ่มาชวน บอกว่าให้เราตั้งใจซ้อม จะพาไปแข่งที่กรุงเทพ ฯ แต่โค้ชบอกผมว่าถ้าอยากจะไปต้องแก้ ร ให้หมดก่อน ก็เลยตั้งใจว่าจะทำให้ได้ครับ เพราะผมอยากมีโอกาสไปเตะบอลที่สนามศุภ ฯ สักครั้ง เหมือนพอมีเป้าหมาย ใจมันก็มา จากวันนั้นถึงตอนนี้ ผมเลยพูดได้แล้วครับว่าทำสำเร็จแล้ว และนอกจากจะได้ไปกรุงเทพ ฯ ผมยังมั่นใจว่าจะเรียนจบ ม.3 พร้อมเพื่อน ๆ ด้วย”

‘ไม่ว่าเส้นทางเป็นอย่างไร เรารู้ว่าจะเจอกันได้เสมอ …ที่สนามฟุตบอล’

ณ ขณะเรื่องราวนี้ปรากฎ คือโค้งสุดท้ายก่อนทีมฟุตบอลชมรมเยาวชนลำปางหลวง กสศ. จะเดินทางมาแข่งที่กรุงเทพ ฯ ‘ไก่โต้ง’ ที่ปัจจุบันเรียนชั้น ปวช.1 สาขาช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคนครลำปางหลวง ในฐานะนักเรียนรุ่นแรกที่ได้รับวุฒิ ม.3 จาก Mobile School ลำปางหลวง และเป็นซีเนียร์คนหนึ่งในทีมบอกว่า “ผมดีใจที่ฟุตบอลคือส่วนสำคัญ ที่ทำให้พวกเราได้กลับมาเรียนและมีทางไปต่อ

“ผมว่าสิ่งที่เราได้เรียนรู้จริง ๆ ระหว่างทางนั้น คือการเติบโตและต่อสู้ทั้งในสนามและชีวิตจริงที่อยู่ข้างนอก อย่างผมพอเรียนวิทยาลัยก็มีเวลาซ้อมน้อยลง เพราะต้องแบ่งเวลาไปเรียน ส่วนคนอื่น ๆ ก็มีภาระของตัวเองที่ต่างกันไป บางคนต้องจริงจังกับการทำงานหาเลี้ยงตัวเอง หรือบางคนก็มีสิ่งจำเป็นต้องทำมากกว่า แต่อย่างหนึ่งที่เรารู้กันก็คือ การได้กลับมาเรียนคือโอกาสที่จะไม่มีใครยอมทิ้งไปอีกแล้ว และจากนี้ไม่ว่าเส้นทางของแต่ละคนเป็นยังไง ถ้ามีเวลา เราก็เชื่อว่าจะยังเจอกันได้เสมอที่สนามฟุตบอล”

ไก่โต้งทิ้งท้ายถึงการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง ว่า “ไม่ว่าใครได้เป็นตัวแทนลงไปในสนาม ผมเชื่อว่าทุกคนจะทำเต็มที่ และสำหรับพวกเราทีมเยาวชนลำปางหลวงทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราจะส่งใจไปรวมกันที่นั่น ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยครับ”