เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 องค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดประชุมออนไลน์ความร่วมมือเครือข่ายพันธมิตรเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Equitable Education Alliance: EEA) ครั้งที่ 14 ภายใต้หัวข้อ “การป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ปัญหาเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการศึกษา การทำงาน หรือการฝึกอบรม (NEET) ผ่านมาตรการแนวปฏิบัติที่ดีจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ปิดช่องว่าง เชื่อมรอยต่อ พัฒนาทุนมนุษย์ไทย”
เวทีดังกล่าวมุ่งรับมือแนวโน้มอัตรา NEET ที่เพิ่มสูงขึ้น ควบคู่กับการยกระดับทุนมนุษย์ของประเทศไทย เปิดพื้นที่ให้ภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ทั้งในและต่างประเทศ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงลึก และร่วมกันตกผลึกแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา วางรากฐานความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม

การประชุมดังกล่าวเปิดฉากด้วยการวางกรอบ “ความท้าทายร่วมของภูมิภาค” ผ่านคำกล่าวเปิดของ คุณริกะ โยโรซุ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจากยูเนสโก กรุงเทพฯ ซึ่งเน้นย้ำความมุ่งมั่นร่วมกันของยูเนสโกและ กสศ. ในการฟื้นคืน “โอกาสการเรียนรู้ที่มีความหมาย” และ “การทำงานอย่างมีศักดิ์ศรี” ให้แก่เยาวชน
“ปัญหาเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษา ยังคงเป็นความท้าทายร่วมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” คุณริกะกล่าว โดยอ้างอิงข้อมูลล่าสุดของยูเนสโก และแถลงการณ์ร่วมลังกาวีว่าด้วยเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ณ ประเทศมาเลเซีย เมื่อเดือนตุลาคม 2568
ภายใต้บริบทนี้ เครือข่าย EEA ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2563 และปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 40 องค์กร ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเส้นทางการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เข้าถึงได้ และสอดรับกับชีวิตจริงของเยาวชน โดยมุ่งลดช่องว่างระหว่างทักษะที่แรงงานมีอยู่กับทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ ในเศรษฐกิจดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
“หากเทคโนโลยีไม่รับใช้ความเสมอภาค ผู้เรียนจำนวนมากก็จะยังคงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” คุณริกะกล่าว พร้อมย้ำว่า ความร่วมมือข้ามภาคส่วนระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ตลอดจนชุมชน คือเงื่อนไขสำคัญในการทำให้หลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เกิดขึ้นจริง

เพื่อปูพื้นฐานสู่การแลกเปลี่ยนเชิงลึก คุณริกะได้ขยายภาพสถานการณ์เยาวชนกลุ่ม NEET ในฐานะ “ความท้าทายเชิงโครงสร้าง” ผ่านการนำเสนอผลการศึกษาขั้นต้นเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านการศึกษาและการฝึกอบรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพบว่า เด็กและเยาวชนกว่า 17 ล้านคนยังอยู่นอกระบบการศึกษา และเยาวชน 1 ใน 5 อยู่ในสถานะ NEET โดยเฉพาะเยาวชนหญิงซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น
ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่ฝังรากอยู่ในปัจจัยทางสังคมหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพ ความพิการ การย้ายถิ่นฐาน ช่องว่างการจ้างงาน หรือความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
ประสบการณ์จากหลายประเทศในภูมิภาคจึงชี้ให้เห็น “ศักยภาพของโมเดลการเรียนรู้แบบโมดูลที่ใช้ดิจิทัลเป็นฐาน” ซึ่งสามารถตอบสนองต่อบริบทที่แตกต่างได้จริง เสริมด้วยการมีส่วนร่วมของนายจ้าง และระบบเตือนภัยล่วงหน้า โดยมีเงื่อนไขความสำเร็จสำคัญ ได้แก่ การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ช่องทางการกลับเข้าสู่ระบบที่หลากหลาย การมีส่วนร่วมและการเป็นเจ้าของโดยชุมชน การวางแผนบนฐานข้อมูล และการจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
เพื่อขยับจาก “โครงการนำร่อง” ไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ” คุณริกะจึงเสนอว่า จำเป็นต้องมีแหล่งทุนที่หลากหลายนอกเหนือจากงบประมาณภาครัฐ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการออกแบบมาตรการ
หลักการดังกล่าวได้ถูกนำไปสู่การปฏิบัติจริง และสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในประเทศไทย ผ่านโมเดล 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ และแอปพลิเคชัน Thailand Zero Dropout ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการขยายผลสู่ระดับภูมิภาค

จากภาพรวมระดับภูมิภาคสู่ระดับประเทศ คุณพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. ได้ฉายภาพการตอบสนองเชิงนโยบายระดับชาติของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอทิศทางยุทธศาสตร์ป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา ยุทธศาสตร์ดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือระหว่าง 11 หน่วยงานภาครัฐตลอดสามปีที่ผ่านมา ภายใต้มติคณะรัฐมนตรีเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 โดยดำเนินงานขับเคลื่อนผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ การบูรณาการฐานข้อมูล การติดตามช่วยเหลือรายบุคคล การขยายการเรียนรู้ยืดหยุ่น และการเสริมเส้นทางการเรียนรู้ควบคู่การทำงาน
ผลการดำเนินงานล่าสุดในปี 2568 ประเทศไทยสามารถช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาได้ราว 100,000 คน ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มเป้าหมายอีกราว 880,000 คน ที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันดึงให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น และได้รับการพัฒนาทักษะเพื่อก้าวสู่การเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป โดยมาตรการ Thailand Zero Dropout ที่เตรียมขยายผลในปีถัดไป คือมีแนวทางรองรับเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนด้วย
“เวทีการประชุมครั้งนี้จึงทำหน้าที่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนของผู้ปฏิบัติงานจริง เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือและยกระดับโมเดลที่มีศักยภาพสู่การขยายผลในวงกว้าง” คุณพัฒนะพงษ์กล่าวสรุป


ในระดับปฏิบัติการ ความก้าวหน้าของประเทศไทยตั้งอยู่บน “ฐานข้อมูลบูรณาการ” ระบบดังกล่าวช่วยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถติดตามเด็กนอกระบบอายุ 3–18 ปี เกือบหนึ่งล้านคน และเชื่อมโยงเด็กแต่ละรายเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะสม ครอบคลุมทั้ง โมเดล 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ, ศูนย์การเรียนรู้ตามมาตรา 12, โรงเรียนเคลื่อนที่ และพื้นที่การเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณแบบมุ่งเป้า ขณะเดียวกัน ความร่วมมือกับภาคเอกชนและงานวิจัยเชิงประยุกต์ยังช่วยเสริมการเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน

ใ
นขณะที่ประเทศไทยเน้นการบูรณาการเชิงระบบ ประสบการณ์ของมาเลเซียได้สะท้อนบทบาทของ “ข้อมูลเชิงคาดการณ์” ในการป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา โดย ดร.นิก ฟาติฮะห์ บินติ นิก อับดุลลาห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการกองวางแผนและวิจัยทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย ได้นำเสนอว่า กระทรวงศึกษาธิการมาเลเซียได้เปลี่ยนผ่านจากระบบเดิมที่ติดตามช่วยเหลือผู้เรียนแบบแมนนวล ไปสู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลผู้เรียนรายบุคคล
ระบบดังกล่าวมีชื่อว่า “SiPKPM” เชื่อมโยงข้อมูลการเข้าเรียน ผลการเรียน และข้อมูลจิตพฤติกรรม เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษาของผู้เรียน ช่วยชี้นำการช่วยเหลือแบบมุ่งเป้า และสนับสนุนการตัดสินใจที่รวดเร็วบนฐานหลักฐานแทนการคาดเดา” ดร.นิกกล่าว
ปัจจุบัน ระบบนี้ถูกใช้งานโดยเจ้าหน้าที่และครูแนะแนวกว่า 11,000 คนทั่วประเทศ ผ่านแดชบอร์ดอัตโนมัติที่แจ้งเตือนผู้เรียนกลุ่มเสี่ยงสูง และแนะนำเส้นทางการเรียนรู้และอาชีพที่สอดคล้องกับศักยภาพรายบุคคล กรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่า การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ด้วย AI เมื่อผสานกับการดูแลช่วยเหลือโดยบุคลากรที่มีจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ การขจัดอุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น ความยากจนและระยะทาง สามารถดำเนินไปได้ผ่านการสนับสนุนที่พัก การช่วยเหลือทางการเงิน และการติดตามต่อเนื่อง จนนำผู้เรียนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้จริง

จากระบบและเทคโนโลยี สู่ระดับห้องเรียน มุมมองระดับนานาชาติจากประเทศแคนาดาช่วยเติมเต็มภาพผ่าน “มิติมนุษย์” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อิซาเบล นิเซต์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชอร์บรูค ประเทศแคนาดา ซึ่งเน้นบทบาทของครูในฐานะ “ปัจจัยคุ้มกันสำคัญต่อการหลุดออกจากระบบการศึกษา”
“วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผ่านห้องเรียนโอบรับความหลากหลาย การประเมินเชิงวินิจฉัย และแผนรายบุคคล ทำหน้าที่ทั้งป้องกันและฟื้นฟูผู้เรียนทุกกลุ่ม” ดร.อิซาเบล กล่าว
ประสบการณ์ของแคนาดาชี้ให้เห็นว่า เมื่อเนื้อหา กระบวนการ และการประเมิน สอดคล้องกับความสนใจ ความพร้อม และความแตกต่างของผู้เรียน การมีส่วนร่วมจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมี “ความสัมพันธ์ครู–นักเรียนที่ตั้งอยู่บนความไว้วางใจ” เป็นฐาน และมี AI ทำหน้าที่สนับสนุนการสอนที่ตอบสนองความแตกต่างได้อย่างเหมาะสม ในเชิงปฏิบัติ การจัดการเรียนรู้เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจความหลากหลายและการจัดลำดับความจำเป็นของผู้เรียน ก่อนจะต่อยอดสู่การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น และการประเมินผลที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

บทเรียนจากหลายประเทศได้ข้อสรุปร่วมกันว่า การป้องกันการหลุดออกจากระบบ และการดึงผู้เรียนกลับสู่การเรียนรู้ ต้องอาศัยระบบที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และเสริมด้วยความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งในทุกระดับ
ระบบข้อมูลบูรณาการของไทย ระบบเตือนภัยด้วย AI ของมาเลเซีย และแนวทางการสอนที่โอบรับความหลากหลายของแคนาดา ล้วนตอกย้ำความสำคัญของการช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่น ๆ การระดมพลังของชุมชน และความไว้วางใจระหว่างผู้เรียนกับครู ไปจนถึงระดับครอบครัว ชุมชน และประเทศ ยิ่งความสัมพันธ์เหล่านี้แน่นแฟ้นมากเท่าใด ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในระยะยาวก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และโอกาสที่เด็กและเยาวชนจะคงอยู่บนเส้นทางการเรียนรู้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

ในระดับชุมชน หลักการเชิงระบบและความสัมพันธ์เดียวกันนี้ ได้รับการพิสูจน์ผ่านการดำเนินงานเชิงพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดย คุณอาลอนโซ ปาดูล ลี ผู้จัดการฝ่ายคุณภาพการดำเนินพันธกิจภาคสนาม มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ได้นำเสนอผลลัพธ์เชิงประจักษ์จาก “โครงการ Youth Ready for Work for Life” ซึ่งพัฒนาเยาวชนทั้งด้านเกษตร ด้านอาชีพ และด้านการเงิน พร้อมเชื่อมต่อสู่การศึกษาทั้งในและนอกระบบ” นายอาลอนโซกล่าว
โครงการดังกล่าวดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ใน 43 พื้นที่ 32 จังหวัด ความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โรงเรียน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ช่วยให้โครงการสามารถเข้าถึงเยาวชนกว่า 66,000 คน ฝึกทักษะอาชีพมากกว่า 15,000 คน สนับสนุนการเป็นผู้ประกอบการ 2,600 คน และช่วยให้เยาวชนกลุ่มเปราะบาง 253 คนมีงานทำภายในปี พ.ศ. 2568
สำหรับยุทธศาสตร์ในช่วงปี พ.ศ. 2569–2573 โครงการจะมุ่งขยายการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เสริมพลังความร่วมมือ และเพิ่มการดูแลกลุ่มเปราะบางมากขึ้น รวมถึงเด็กพิการ

มุมมองจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังได้ตอกย้ำเพิ่มเติมถึงความสำคัญของ “การเป็นเจ้าของร่วม” และ “การประสานงานข้ามหน่วยงาน” โดย คุณเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ชี้ให้เห็นว่า ความยากจน ความเปราะบางของครอบครัว และประเด็นด้านความปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญต่อการหลุดออกจากระบบการศึกษา
การจัดหาปัจจัยพื้นฐาน ทุนการศึกษา และการดูแลที่จำเป็นแก่ผู้เรียน จึงดำเนินการผ่านกรอบแนวทาง 4 จ. ได้แก่ “เจอ – จัด – จิก – จบ” ควบคู่กับระบบส่งต่อการช่วยเหลือรายกรณี
“เรามองบทบาทของตนเองในฐานะผู้ประสานและเอื้ออำนวยความร่วมมือ ที่เชื่อมโยงโรงเรียน หน่วยงานรัฐ ผู้นำศาสนา และภาคเอกชน ให้ร่วมกันรับผิดชอบต่ออนาคตของเด็กและเยาวชน” นายเศรษฐ์กล่าว โดยยกตัวอย่างกองทุน “บูดักปัตตานี” ที่ระดมทุนจากซะกาตและวากัฟ ตามหลักความเชื่อทางศาสนา ซึ่งได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนเส้นทางการศึกษาและอาชีพในพื้นที่

ในอีกพื้นที่หนึ่ง การพัฒนาเชิงพื้นที่แบบบูรณาการได้แสดงให้เห็นศักยภาพของ “ระบบนิเวศการเรียนรู้ในชุมชน” โดย คุณสันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลลำปางหลวง จังหวัดลำปาง ได้นำเสนอการยกระดับพื้นที่สู่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนผ่านกรอบ “วัคซีนชีวิต — สุขภาพ การศึกษา อาชีพ คุณค่าชีวิต”
กรอบดังกล่าวช่วยจำแนกผู้เรียนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มนอกระบบ พร้อมสนับสนุนเป้าหมายเชิงรายบุคคลให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละคน ภายใต้กรอบการทำงานนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ช่วยให้เยาวชน 19 คนกลับเข้าสู่การเรียนรู้ ขยายทักษะ และได้รับทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน
“ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในระดับพื้นที่และการมีส่วนร่วมของครอบครัว เรากำลังก้าวไปสู่การเป็นตำบลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต” คุณสันติพงษ์กล่าว พร้อมระบุว่า การรับฟังเสียงของกลุ่มเปราะบางได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับพื้นที่การเรียนรู้ให้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่ทุกคนเข้าถึงได้

ในช่วงท้ายของการประชุม เป็นการสรุปและประมวลองค์ความรู้จากทั้งต่างประเทศและประเทศไทย โดย คุณธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. เน้นย้ำว่า
“การป้องกันการหลุดออกจากระบบต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างเทคโนโลยี นโยบาย และชุมชน เพื่อสร้างเส้นทางการเรียนรู้ที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น”ประสบการณ์จากประเทศไทย มาเลเซีย แคนาดา และพื้นที่ปฏิบัติการในปัตตานีและลำปาง สะท้อนตรงกันว่า ผลกระทบที่ยั่งยืนเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือระหว่างรัฐ ชุมชน โรงเรียน ครอบครัว และภาคีระหว่างประเทศ เมื่อระบบมีความยืดหยุ่น ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ใช้ชุมชนเป็นฐาน ตอบสนองต่อชีวิตจริง และเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ภายใต้ปัจจัยดังกล่าว การลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษา และปัญหา NEET จึงไม่ใช่เพียงความหวัง หากแต่เป็น “การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่มีผลเชิงประจักษ์” ซึ่งดำเนินงานลงลึกถึงชีวิตของเด็กและเยาวชนรายบุคคล และเส้นทางชีวิตของพวกเขาในอนาคต