ในงานปัจฉิมนิเทศนักศึกษาทุนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่น 2 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อ 21 กันยายนที่ผ่านมา ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมแสดงความยินดีกับนักศึกษาทุนทั้ง 295 คนในโอกาสสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก 10 สถาบันต้นแบบการผลิตและพัฒนาครู และเตรียมบรรจุเข้าไปพัฒนาโรงเรียนบ้านเกิดในพื้นที่ห่างไกลรวม 285 แห่ง ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
เมื่อโรงเรียนปลางทางของครูทุกคน ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนเล็กที่ขาดแคลน อยู่ห่างไกลเมือง บ้างอยู่บนภูเขา บนเกาะ เสี่ยงภัย ตามแนวชายแดน บ้างก็มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ หรืออยู่กลุ่มโครงการพิเศษที่ขาดครูมานาน แต่ทว่ายังมีเด็ก ๆ กว่า 50,000 ชีวิต ที่รออยู่ รอครูคุณภาพกลับไปดูแลการเรียนรู้ของพวกเขาอย่างใกล้ชิด ทำให้ในโอกาสสำคัญที่ครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่น 2 สำเร็จการศึกษาเต็มตัวแล้ว ดร.ไกรยสจึงขอฝากข้อคิดให้เป็นแรงบันดาลใจแก่ครูคนใหม่ ให้เฝ้าตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอ ไม่ลืมเรียนรู้ทุกวัน

วันที่เราเริ่มต้นเรียกตัวเองว่า “ครู”
ดร.ไกรยส พาย้อนความทรงจำของตนเองในวันที่เคยเป็นครูฝึกสอนเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยแม้ว่าปัจจุบันจะอยู่บนบทบาทงานบริหาร แต่หากเมื่อใดที่ได้รับเชิญจากสถาบันต่าง ๆ ให้เข้าไปสอนนักเรียนนักศึกษา ก็ยังยินดีอยู่เสมอ เพราะการได้ก้าวเข้าสู่ห้องเรียนของตน ทำให้ได้เห็นแววตาของผู้เรียน นับเป็นช่วงเวลาที่เติมเต็มความรู้สึกให้มีแรงบันดาลใจและตอกย้ำกับตัวเองว่า “เรายังเป็นครูอยู่”
จึงอยากฝากคำถามนี้ให้น้อง ๆ ครูรุ่นใหม่ได้ถามตัวเองอยู่เสมอเหมือนกันว่า…
“ความเป็นครูของเรานั้น เริ่มต้นที่ตรงไหน?”
เราเริ่มต้นเป็นครูแล้วหรือยัง หรือจะเริ่มเมื่อไหร่?
บางคนอาจรู้สึกว่าเริ่มเป็นครูตั้งแต่วันที่ได้ทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น
บางคนอาจรู้สึกว่าเริ่มเป็นครูในวันที่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ
บางคนอาจรู้สึกว่าเริ่มเป็นครูเมื่อลงอยู่ที่โรงเรียนครั้งแรกแล้วได้รับคำชมจาก ผอ. ว่า “เราเป็นครูใหม่ที่ดีมาก”
หรืออาจจะเป็นวันแรกในพิธีไหว้ครู ที่มีนักเรียนตัวน้อยถือพานมากราบเป็นลูกศิษย์คนแรกของชีวิต
“วันนั้นหรือเปล่านะ ที่เราเรียกตัวเองว่าเป็นครู”
วันไหนกันที่แต่ละคนได้เริ่มต้นชีวิตครูจริง ๆ และรู้สึกภาคภูมิใจว่า “ได้เป็นครูแล้ว”

แล้วความเป็นครูสิ้นสุดเมื่อใด?
อีกคำถามหนึ่งที่ ดร.ไกรยส ชวนให้ครูรัก(ษ์)ถิ่นถามตัวเองคือ…
“ความเป็นครูของเราจะสิ้นสุดลงเมื่อใด?”
จะสิ้นสุดเมื่อเสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียน 16.30 น. หรือเปล่า?
หรือหมดเวลางานแล้ว เรายังต้องออกตามหาลูกศิษย์ที่หายไปจากห้องเรียน?
จะสิ้นสุดตรงรั้วโรงเรียน? หรือสิ้นสุดเมื่ออายุครบ 60 ปี เกษียณราชการ?
หรือแท้จริงแล้ว แม้เกษียณไปแล้ว ความเป็นครูของเราก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะเรายังคงทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ และแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไปได้เรื่อย ๆ
“ความเป็นครูเริ่มต้นที่ตรงไหนและสิ้นสุดลงเมื่อใด เป็นคำถามที่พี่อยากจะฝากถึงน้อง ๆ ครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 2 ทุกคน อยากให้น้องลองถามตัวเองเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะตราบใดที่เรายังตั้งคำถามนี้ เราก็จะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง”

ขอบคุณทุกคนที่เลือกมาเป็นครู
ในนามผู้จัดการ กสศ. ดร.ไกรยสเชื่อมั่นว่าครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่น 2 ทุกคนคือพลังของคนรุ่นใหม่ ที่จะก้าวออกไปขับเคลื่อนการศึกษาในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน การผลิตและพัฒนาครูเป็นโจทย์ท้าทายที่เกิดขึ้นทั่วโลก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่า ภายในปี ค.ศ. 2030–2040 ระบบการศึกษาจะต้องมุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และสร้าง “ชุมชนแห่งการเรียนรู้” ที่ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะได้รอบด้าน
หัวใจสำคัญที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ คือ การสร้างครูที่มีคุณภาพ ทั้งในด้านวิชาการ ความเชี่ยวชาญ และการเติบโตเต็มศักยภาพในวิชาชีพ เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา
เมื่อมองไปสู่อนาคต ครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นใหม่จึงไม่เพียงมีหน้าที่สอนหนังสือ แต่ยังต้องเป็นครูที่พร้อมนำพาการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ขอบคุณทุกพลังความร่วมมือที่อยู่เบื้องหลัง
ผู้จัดการ กสศ. แสดงความขอบคุณต่อ 5 องค์กรหลักทางการศึกษาของประเทศ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.), กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ที่ได้ร่วมผลักดันโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นกับ กสศ. เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลได้ก้าวต่อสู่ระดับอุดมศึกษาในวิชาชีพครู และช่วยกันผลักดันการผลิตครูระบบปิดให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในถิ่นบ้านเกิดเพื่อเป็น “ครูนักพัฒนาชุมชน” ที่อยู่ใกล้ชิดเด็ก ๆ ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนครูและการโยกย้ายกลับบ้าน
ขอขอบคุณ ผู้บริหารและคณาจารย์จาก 10 สถาบันต้นแบบการผลิตและพัฒนาครู ได้แก่ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์, มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้ร่วมกันบ่มเพาะครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 2 ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายที่หลากหลายและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่
สุดท้ายในโอกาสนี้ ขอขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม รวมถึงประชาชนทุกคน ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และร่วมกันสร้างครูรัก(ษ์)ถิ่นที่เข้าใจบริบทชุมชนให้กลับไปเป็นครูของเด็ก ๆ และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยอย่างยั่งยืนต่อไป