เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ คณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร จัดเวทีเสวนา “ทิศทางการจัดการศึกษาภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่” เพื่อเปิดรับข้อเสนอและมุมมองจากผู้แทนหลากหลายภาคส่วน นำไปใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์การศึกษาและตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร, นายเฉลา พวงมาลัย ประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วุฒิสภา, นายประสิทธิ์ จันทร์ดา อนุกรรมาธิการส่งเสริมการเรียนรู้และการศึกษาเอกชน วุฒิสภา, นายอำนาจ วิชยานุวัติ อดีตเลขาธิการ กพฐ. และอดีตเลขาธิการสภาการศึกษา และ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ต้องมุ่งพัฒนาการศึกษาให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทั้งจากเทคโนโลยี ภัยพิบัติ โรคระบาด และปัจจัยทางสังคม การจัดการศึกษาจึงต้องยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น และเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรอย่างเพียงพอ ข้อคิดเห็นและข้อเสนอจากเวทีนี้จะถูกนำไปรวบรวมเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายของคณะกรรมาธิการฯ เพื่อประกอบการยกร่างกฎหมายต่อไป

ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า ข้อมูลเชิงประชากรชี้ชัดว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ โดยอีก 40 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรจะลดลงเหลือเพียง 30–40 ล้านคน ส่งผลให้กำลังแรงงานหดตัวอย่างมาก การจัดการศึกษาจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือทั้งในด้านการสร้างทุนมนุษย์และการลดความเหลื่อมล้ำ
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาราว 8.8 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยากจนด้อยโอกาส ขณะที่ในกลุ่มที่ยังอยู่ในระบบ พบว่าประมาณ 1 ใน 5 หลุดจากระบบหลังจบการศึกษาภาคบังคับ (ม.3) และตัวเลขยังลดลงอีกในแต่ละช่วงรอยต่อการศึกษา โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา ในปีการศึกษา 2567 เยาวชนจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนทั้งรุ่น มีเพียง 13.49% ที่เรียนต่อถึงระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศถึง 3 เท่า
ดร.ไกรยส เน้นย้ำว่า ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนว่าเด็กอีก 86.51% ขาดศักยภาพ แต่เป็นเพราะขาดโอกาส ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลสอบ PISA 2025 ที่แม้คะแนนเฉลี่ยของไทยจะต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ในกลุ่มนักเรียนที่ทำคะแนนสูงกว่ามาตรฐาน มีจำนวนหนึ่งที่มาจากครัวเรือนยากจน แสดงให้เห็นว่าหากได้รับโอกาสและการสนับสนุนที่เหมาะสม เด็กเหล่านี้ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่แพ้ใคร

ภายใต้นโยบาย Thailand Zero Dropout แนวคิดการศึกษายืดหยุ่นได้ถูกผลักดันอย่างจริงจัง เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพาเยาวชนกลับสู่ระบบการเรียนรู้ ตัวอย่างเช่น โรงเรียนมือถือ (Mobile School), 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ, การเรียนรู้เพื่อหารายได้ (Learn to Earn) และการพัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้ทุกรูปแบบสู่การรับวุฒิการศึกษา
ทั้งนี้ การจัดการศึกษาที่หลากหลายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หากระบบธนาคารหน่วยกิตพัฒนาเต็มรูปแบบ จะสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้จากโรงเรียน ศูนย์การเรียน สกร. และหน่วยจัดการเรียนรู้อื่น ๆ ให้เป็นเส้นทางการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ผู้เรียนทุกกลุ่มได้อย่างแท้จริง
สำหรับข้อเสนอสำคัญต่อร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและจัดการทรัพยากรทางการศึกษาอย่างเสมอภาค กสศ. ได้เสนอ 6 แนวทางดังนี้
1. พัฒนา “ธนาคารหน่วยกิตกลาง” เป็นแพลตฟอร์มกลางรองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ธนาคารหน่วยกิตควรทำหน้าที่เป็นกลไกกลางในการสะสมผลการเรียนรู้จากหลากหลายหน่วยงาน
2. ปรับระบบงบประมาณรายหัวให้ติดตามนักเรียนข้ามหน่วยงาน รัฐควรกำหนดให้การจัดสรรงบประมาณรายหัวมีความยืดหยุ่น โดยสามารถ “วิ่งตามตัวผู้เรียน” ไปยังหน่วยจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะโรงเรียนในระบบ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงและความต้องการเฉพาะบุคคล
3. ประเมินคุณภาพหน่วยจัดการเรียนรู้จากผลลัพธ์การจ้างงาน หน่วยจัดการเรียนรู้ ทั้งในระบบและนอกระบบ ควรได้รับการประเมินจาก ผลการจ้างงานของผู้เรียน และ ข้อเสนอแนะจากนายจ้าง เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการรับรองเข้าสู่ระบบธนาคารหน่วยกิต
4. สนับสนุนทุนค่าครองชีพแก่เยาวชนจากครัวเรือนรายได้น้อย รัฐสามารถแปลงงบประมาณบางส่วนเป็นทุนค่าครองชีพ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของเยาวชนที่มีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ลดอุปสรรคในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และป้องกันไม่ให้หลุดออกจากระบบ
5. จัดตั้งระบบรับรองสถานภาพผู้เรียนในรูปแบบการศึกษาตลอดชีวิต ควรให้มีหน่วยงานกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่รับรองสถานภาพผู้เรียน รูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็น “ในระบบ” หรือ “นอกระบบ” เพื่อให้การเรียนรู้ทุกประเภทได้รับการรับรองต่อเนื่อง และไม่เสียสิทธิ์ในสวัสดิการหรือการสนับสนุนจากภาครัฐ
6. ส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ซึ่งอาจรวมถึงการจัดทำมาตรการแรงจูงใจทางภาษี (Tax Incentive) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหรือเรียนรู้ควบคู่การทำงาน (Learn to Earn) สำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อพัฒนาทักษะการทำงานที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ศักยภาพของเด็ก และให้มีรายได้เสริมระหว่างการศึกษา
ดร.ไกรยส ย้ำว่า การปฏิรูปการศึกษาผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างระบบที่ตอบโจทย์ทั้งความเป็นเลิศทางวิชาการ และการเข้าถึงโอกาสอย่างเสมอภาคสำหรับเด็กและเยาวชนทุกคน